ผลการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ เมื่อวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคมนี้ ปรากฏว่า นายเฟอร์ดินานด์“บองบอง” มาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายวัย 64 ปี ของอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้ล่วงลับ เป็นผู้ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น อีกทั้งพันธมิตรผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคือ นางซารา ดูเตอร์เต-คาร์ปิโอ บุตรีของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ก็ยังได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นอีกด้วย ทำให้ทีมประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์นั้นมีความเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น และน่าเกรงขาม(ตามรัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้ง ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี แยกกัน จึงอาจได้ประธานาธิบดี คนละค่ายกับรองประธานาธิบดีได้)
การณ์นี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า ตระกูลการเมือง หรือราชวงศ์การเมือง (Political Dynasty) “มาร์กอส” ได้หวนกลับสู่เวที
การเมืองระดับชาติของฟิลิปปินส์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ห่างเหินไปร่วม 30 กว่าปี (ขณะนั้น ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอสผู้พ่อ ถูกขับไล่และโค่นล้ม และลี้ภัยไปอยู่ฮอนโนลูลู ประเทศสหรัฐอเมริกา)
อันที่จริงแล้ว ระหว่างนั้น ตระกูลมาร์กอส ก็ไม่ได้เหินห่างเวทีการเมืองของฟิลิปปินส์ไปอย่างสิ้นเชิง ยังคงมีการเข้ามาเล่นการเมืองในระดับท้องถิ่น และระดับวุฒิสภา ทั้งตัว นางอีเมลดามาร์กอส (มารดา) และตัวนายบองบอง มาร์กอส (ลูกชาย) ซึ่งดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก และเมื่อสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ ช่วงแรกก็ไม่มีผู้ใดคาดหมายว่า จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงตระกูลมาร์กอส และพุ่งมาสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศฟิลิปปินส์ได้
ซึ่งก็คงมีหลายสาเหตุด้วยกันที่ทำให้ตระกูลมาร์กอสประสบความสำเร็จ อาทิ
1. ผู้แข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีรวม 10 คน ล้วนไม่มีความโดดเด่นเฉพาะ แม้กระทั่ง นางโรเบรโด จากปีกเสรีนิยม ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี ดูเตอร์เต (ซึ่งกำลังจะอำลาจากเวทีการเมืองไป และลงสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 2 ไม่ได้ เพราะกฎเกณฑ์กติกาของฟิลิปปินส์ว่า บุคคลใดเป็นประธานาธิบดีได้แค่วาระเดียว) ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
2. ตระกูลการเมืองอื่นๆ ของฟิลิปปินส์ที่เคยมีบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความโดดเด่น ก็ดูจะล้มหายตายจาก หรือล้างมือจากการเมืองกันไป หรือไม่ก็ขาดความโดดเด่น และไม่กล้าแสดงตัวในช่วงที่ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ครองตำแหน่ง ที่ปกครองประเทศบริหารบ้านเมืองแบบเข้มข้น ไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดจะขึ้นมาท้าทายได้
3. ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ประกาศสนับสนุน บองบองมาร์กอส เพราะมีความคิดอ่านไปในทิศทางเดียวกัน คือการใช้อำนาจอย่างเข้มข้นในการบริหารบ้านเมือง โดยมีผลพลอยได้คือ ได้รับการสนับสนุนจาก บองบอง มาร์กอส ให้ นางซารา ดูเตอร์เต บุตรีของตนเป็นผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีดังกล่าว
4. ประเทศฟิลิปปินส์มีประชากร หรือประชาชนพลเมืองที่จัดได้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและกลางคน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดไม่ทันยุคมาร์กอสผู้พ่อ หรือแม้จะเกิดทันตอนนั้นก็ยังอยู่ในเยาว์วัย ต่างมิได้มีโอกาสลิ้มรส หรือสัมผัสความเป็นเผด็จการที่โหดร้าย ทารุณ ของประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้พ่อ
5. ในขณะเดียวกัน ชาวฟิลิปปินส์รุ่นใหม่ต่างก็เคลิบเคลิ้มไปกับการโฆษณาชวนเชื่อในการบิดเบือนข้อเท็จจริงของฝ่ายค่ายมาร์กอส ว่า การเมืองการปกครองภายใต้ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์มาร์กอส ผู้พ่อนั้น เป็นยุคทอง (The Golden Age) ของประเทศฟิลิปปินส์ ที่ฟิลิปปินส์มีเสถียรภาพมั่นคง มีความเจริญก้าวหน้า มีความโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ
6. คู่แข่งคนสำคัญของ นายบองบอง มาร์กอส คือ นางเลนี โรเบรโด มีบุคลิกที่ไม่โดดเด่นเร้าใจ ไม่เป็นนักพูดหรือ
นักโต้วาทีที่แหลมคมมีรสชาติ ส่วนผู้เข้าร่วมแข่งขันอื่นๆ แม้กระทั่ง นายปาเกียว นักมวยโลก ก็ไม่สามารถวางตัวให้เป็นเสียงของผู้คนระดับรากหญ้าได้ เพราะต่างก็ไม่มีข้อเสนอนโยบายที่โดดเด่นเป็นชิ้นเป็นอันได้ ส่วนผู้สมัครอื่นๆ ก็ไม่มีสาร (Message) ที่จะเข้าถึงประชาชนพลเมืองได้
7. ฝ่ายค่ายมาร์กอสนั้นประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการใช้โซเชียลมีเดีย ในการหาเสียงและเข้าถึงประชาชนพลเมือง ซึ่งการสะท้อนการมีทีมงานด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และการสื่อสารต่อประชาชนพลเมืองที่มีความสามารถ และก็แน่นอนเงินทุนทรัพย์เรื่องการรณรงค์หาเสียงที่มากมายกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ
นายบองบอง มาร์กอส จะเข้าสาบานตัวรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ในเดือนมิถุนายนนี้ โดยมีคำถามระคนด้วยความหวาดหวั่นไปทั่วว่า หลังจากนั้น ฟิลิปปินส์จะเดินหน้าไปในทิศทางใด ทั้งในเรื่องกิจการภายในและการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นที่คาดเดากันว่า บองบอง มาร์กอส จะรับวิธีการปราบปรามการค้ายาเสพติดแบบเข้มข้นของประธานาธิบดีดูเตอร์เต มาใช้ต่อไป และคงจะใช้อำนาจของตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเข้มข้น ซึ่งจะนำไปสู่การจำกัดพื้นที่ของการมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมืองเป็นการทั่วไป และจะมุ่งตีกรอบกับฝ่ายสื่อ และฝ่ายภาคประชาสังคม โดยในขณะเดียวกันก็คงจะกระชับความสัมพันธ์กับจีนมากยิ่งขึ้น เพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ และการแสดงความพึงพอใจว่าจีน ไม่มีข้อกังวลหรือท้วงติงกับกิจการภายในของฟิลิปปินส์ ตรงกันข้ามกับฝ่ายสหรัฐฯ ที่มักจะแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการจำกัดหรือตีกรอบการเป็นสังคมประชาธิปไตย และการเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชน
ในระดับประชาคมอาเซียนนั้น ฟิลิปปินส์ก็คงจะไม่มีบทบาทในการเป็นผู้นำพา หรือจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งหรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน โดยจะเลือกอยู่ในลักษณะของการเป็นผู้ตาม หรือนิ่งเฉยเสียมากกว่า เพราะประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์คงจะให้ความสำคัญกับเรื่องภายใน เช่นเรื่องปากท้อง และการร่วมมือกับต่างประเทศที่จะเน้นในเรื่องเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ทั้งหมดดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับด้วยว่า ทางฝ่ายค้านที่คงจะนำโดย นางเลนี โรเบรโด จะมีท่าทีอย่างไรและมีข้อเสนอทางเลือกอย่างใดต่อประชาชนพลเมืองฟิลิปปินส์ ทั้งที่จะเป็นการถ่วงดุลคานอำนาจ และหันเหให้ฟิลิปปินส์เคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกที่ควร เป็นประโยชน์ต่อฟิลิปปินส์เอง ต่ออาเซียนโดยรวม และต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วย
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับไทยนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีของไทย กับประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์นั้น จะสามารถทำความรู้จักมักจี่กันได้มากแค่ไหนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับทวิภาคี และการร่วมมือทั้งในเวทีอาเซียน และเวทีเอเชียแปซิฟิก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี