วันนี้วันสุดท้ายของการอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีวาระแรก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามเงื่อนไขที่อดีตนายกทักษิณบอกว่าจะล้มรัฐบาลได้ แม้จะประเมินได้ว่าไม่น่าจะมีผลต่อการโหวตในคืนนี้ หรือจนจบวาระที่สองสามหลังกรรมาธิการก็ตามเพราะยังมีปัจจัยการเมืองอื่นที่รัฐบาลได้วางเกมไว้แล้ว แต่ดูเหมือนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อประชาชนดูจะลดไปมากและนี่จะมีผลอย่างแท้จริงต่อการเลือกตั้งใหญ่ ไม่ว่าจะปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าก็ตาม หากยังไม่ปรับยุทธศาสตร์
ที่หลายฝ่ายต่างคาดการณ์กันว่าการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 น่าจะอยู่ในช่วงขาลง จนเริ่มมีการพูดถึงการผ่อนปรนมาตรการด้านสาธารณสุข อย่างการผ่อนปรนการบังคับสวมใส่หน้ากากอนามัย ในพื้นที่ 31 จังหวัดที่มีความปลอดภัยและความพร้อมอยู่ในระดับหนึ่ง เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์โควิดขาลง เตรียมเข้าสู่การปรับเป็นโรคประจำถิ่นในเร็วๆ นี้
ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ แม้จะถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการกับการแพร่ระบาดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของการควบคุมการแพร่ระบาดนั้นถือว่าทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ และต้องยอมรับว่าทำได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่จะมากพอที่จะทำให้เปลี่ยนเป็นความพอใจของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้หรือไม่? เพราะอย่าลืมว่าการจัดการกับการแพร่ระบาดโควิดก็เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่เป็นโจทย์หลักของรัฐบาลในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่ตัวแปรหลังจากนี้คือการเยียวยาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ และเร่งฟื้นฟูสถานภาพทางเศรษฐกิจให้ใกล้เคียงความเป็นปกติที่สุด
ว่ากันตามสถานการณ์ปัจจุบัน แม้การแพร่ระบาดของโรคโควิดสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงโชคชะตารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ คล้ายเดินอยู่บนเส้นด้าย ทั้งเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังโควิดที่รัฐบาลยังไม่มีการมาตรการที่จะดำเนินการอะไรที่ชัดเจน สะท้อนไปยังความนิยมของฝ่ายรัฐบาล หลังจากการปิดหีบเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ซึ่งได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับพรรคฝั่งรัฐบาลทันที รวมถึงประเด็นในสภาที่ว่านิ่งๆ นอนมา แต่เรื่องราวของพรรคเศรษฐกิจไทย ที่แม้จะยังพึ่งเปิดสมัยประชุมสภา แต่สิ่งที่วางไว้ก็อาจไม่ใช่อย่างที่คิดอีกแล้ว
เมื่อพลเอกวิชญ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ต้องพ้นจากตำแหน่งไปในที่สุด จนคอการเมืองต่างพากันพาดหัวว่า ร้อยเอกธรรมนัส เริ่มเดินเกมเปิดหน้าแลก กับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์แล้วหรือไม่? หลังจากที่ร้อยเอกธรรมนัสเก็บกระเป๋าออกจากบ้านพรรคพลังประชารัฐ จากการขับออกซึ่งเป็นไปตามมติของพรรค ท่าทีของร้อยเอกธรรมนัส ก็เป็นที่ถกเถียงทั่วไปว่าจะเป็นไปในทิศทางใดกันแน่?
แต่ด้วยความที่บ้านหลังต่อมาของเจ้าตัวคือพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งถูกมองว่า เป็นหนึ่งในพรรคสาขาของรัฐบาล อีกทั้งบารมีของพลเอกประวิตร ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ร้อยเอกธรรมนัสให้ความเคารพยิ่ง จึงไม่แปลกที่คอการเมืองส่วนมากจะลงความเห็นไปในออกไปในทิศทางที่ว่า ร้อยเอกธรรมนัสน่าจะยังเป็นหนึ่งในเสียงที่คอยสนับสนุนรัฐบาลอยู่ และน่าจะเป็นผู้วางรากฐานให้กับพรรคเศรษฐกิจไทยในการวางกลศึกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ร่วมกับพลเอกวิชญ์ อีกหนึ่งคนใกล้ชิดของพลเอกประวิตร แต่ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปล่าสุดของร้อยเอกธรรมนัสจะเป็นสัญญาณสำคัญที่สื่อไปถึงขั้วรัฐบาลว่า ตนพร้อมที่จะยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับรัฐบาลหรือไม่?
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว วันที่ร้อยเอกธรรมนัสเริ่มเดินเกม เปิดศึก ลองเชิงโดยมีจุดประสงค์หลักคือการทำให้พลเอกประยุทธ์ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพื่อหวังผลบางอย่างทางการเมือง ท้ายที่สุดแม้จะไม่เป็นผลสำเร็จ แต่นั่นก็เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับขั้วรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพลเอกประยุทธ์ ที่แม้จะผ่านปากเหวมาได้อย่างหวุดหวิดในครั้งนั้น แต่สำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในตอนนี้อาจมีรูปแบบที่แตกต่างออกไป
ปฏิบัติการเขย่าเก้าอี้นายกฯ ในครั้งก่อน แม้จะสร้างแรงสั่นสะเทือนในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากพอ เพราะเมื่อสุดท้าย สาม ป. ก็กลับมาจับมือกันเหมือนเดิม แล้วก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบารมีของพลเอกประวิตร ยังคงมีผลต่อร้อยเอกธรรมนัส ส่งผลให้พลเอกประยุทธ์ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาได้ แต่วัดอุณหภูมิตอนนี้จะยังคงเป็นเช่นเดิมหรือไม่?
แม้ร้อยเอกธรรมนัสจะยังคงรักและเคารพพลเอกประวิตรไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเช่นนั้นกับพลเอกประยุทธ์ ? อีกทั้งวิสัยทัศน์และจุดยืนทางการเมืองของร้อยเอกธรรมนัสก็เป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม ซึ่งน่าจะสร้างความวิตกให้กับขั้วรัฐบาลรวมถึงตัวพลเอกประยุทธ์อยู่บ้าง
อันที่จริงความต้องการส่วนตัวของร้อยเอกธรรมนัสที่คาดหวังไว้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เจ้าตัวจะออกโรงมาบอกว่า มี สส. ในมือเกิน 40 เสียง แต่หากลองดูถึงกลุ่มก้อน สส. ดั้งเดิม ที่อยู่ในมือของร้อยเอกธรรมนัสแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าจุดศูนย์รวมที่สำคัญก็คือพลเอกประวิตรทั้งสิ้น จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่ร้อยเอกธรรมนัสพร้อมด้วยบรรดา สส. ในมือจะอยู่ขั้วตรงข้ามกับพลเอกประวิตร ก็คงต้องวัดกันว่า หากครั้งนี้พลเอกประวิตรมีการเอ่ยปากขอให้ร้อยเอกธรรมนัสระงับหรือสงวนท่าทีแล้ว ร้อยเอกธรรมนัส รวมถึงลูกทีมจะมีท่าทีอย่างไร? หรืออันที่จริงจะเป็นเพียงการเล่นเกมเพื่อต่อรองอะไรหรือไม่? ก็เกินจะคาดเดา
อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือพรรคเศรษฐกิจไทย จะเป็นอย่างไรต่อ เมื่อรอยร้าวเริ่มปรากฏที่บนเรือ ทางเลือกของลูกเรือคงมีไม่มาก ทางแรกคือ ซ่อมแซมเรือแล้วเดินทางต่อ อีกหนึ่งทางเลือกคือการสละเรือลำเดิม และหาเรือลำใหม่ที่พร้อมพาตนเองไปยังจุดหมาย ซึ่งร้อยเอกธรรมนัสก็มีทางเลือกที่ไปได้มากกว่าหนึ่งด้วย ยิ่งหากเรือลำใหม่ที่เทียบท่ารอ เป็นเรือลำเดิมที่คุ้นเคย และรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะยิ่งสร้างความสบายอกสบายใจในการไปยังจุดหมายไม่ใช่น้อย แม้ในทางเลือกที่สองจะดูเป็นไปได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งปรากฏข่าวการนัดรับประทานอาหารกับระดับผู้ใหญ่ภายในพรรค จนพลเอกประวิตรต้องออกมาชี้แจงกับบรรดานักข่าวการเมืองว่าร้อยเอกธรรมนัสไม่ไปหรอก ซึ่งกระแสข่าวนัดทานข้าวดังกล่าว ก็เกิดขึ้นก่อนหน้าที่พลเอกวิชญ์จะโดนล้มโต๊ะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งอดีตนายกทักษิณ ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงก็ดูจะมีท่าทีต่อร้อยเอกธรรมนัสในด้านบวกเป็นพิเศษ จึงไม่อาจตัดโอกาสที่ร้อยเอกธรรมนัสจะหวนคืนบ้านหลังเก่าไปได้
และหากเหตุการณ์หวนคืนบ้านหลังเดิมเกิดขึ้นก็น่าจะส่งผลลากยาวไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า แน่นอนว่าในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยได้มีการประกาศเป้าหมายแลนด์สไลด์มา ตั้งแต่เนิ่นๆ หากพรรคเพื่อไทยสามารถดึงร้อยเอกธรรมนัสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งได้ ก็อาจส่งผลบวกต่อพรรคเพื่อไทยในการดำเนินแผนการแต้มสีแดงในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มร้อยเอกธรรมนัสได้ และมีโอกาสต่อยอดเพื่อขยายอิทธิพลทางการเมืองไปยังพื้นที่เขตอีสานต่อได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเลือดไหลแล้วก็ยากที่จะหยุดไหลยิ่งตอนนี้เพื่อไทยมีโครงการแดงกลับบ้าน ก็แปลว่าพร้อมต้อนรับคนที่เคยออกให้กลับเข้ามา แต่จะไปจริงก็ต้องถามลูกทีมของพรรคเศรษฐกิจไทยก่อนเพราะไม่รู้ว่าจะตามไปกี่คน
ขณะที่พรรคเศรษฐกิจไทยก็มีคนวิเคราะห์ว่าเมื่อร้อยเอกธรรมนัส กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคแบบเต็มตัว ท่าทีที่น่าจับตามองคือจะมีการอภิปรายโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ในการพิจารณางบประมาณ และศึกซักฟอกด้วยหรือไม่? เพราะหากจะเดินทางนี้แล้ว แม้จะเกรงใจพลเอกประวิตร แต่ก็ต้องเดินให้สุดทางไม่อย่างนั้นคะแนนก็จะไม่มา เพราะประชาชนตอนนี้ชอบความเด็ดขาด ชัดเจนมากกว่า
แต่ล่าสุดก็มีท่าทีชัดเจนที่จะสนับสนุนรัฐบาลในร่างพ.ร.บ.งบประมาณนี้
ดูเผินๆ เหมือนพรรคที่ดูมีทิศทางดีขึ้นแบบค่อยๆ เก็บแต้มคือพรรคเพื่อไทย แต่สิ่งที่อาจเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ของเพื่อไทย กลับกลายเป็นการเติบโตของพรรคภูมิใจไทยที่เป็นอุปสรรคไม่ให้ไปสู่จุดหมายแลนด์สไลด์ได้อย่างสะดวก ทั้งยังมีบุคลิกที่สามารถดึงดูด สส. จากพรรคการเมืองทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก ฝั่งไหนก็ตาม ทั้งการขยายอิทธิพลในพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบภาคอีสาน ที่แต่เดิมพรรคเพื่อไทยเป็นผู้จองสัมปทานในพื้นที่ ก่อนที่พรรคภูมิใจไทยจะสร้างอิทธิพล กลายเป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ทับซ้อนระหว่างสองพรรค?
นอกจากนี้พรรคภูมิใจไทยยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เพราะในระยะหลังมานี้ พรรคภูมิใจไทยเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งเป็นคะแนนโหวตที่สำคัญ ที่คอยประคับประคองให้รัฐบาลสามารถฝ่าฟันปัญหาได้
แต่หากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์หวังจะพึ่งพาพรรคภูมิใจไทยอย่างสนิทใจก็คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะที่ผ่านมาก็มักจะพบกระแสข่าวที่แสดงออกมาว่ามีบางสิ่งที่พลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันเสียทีเดียว ทั้งในกฎหมายลูก แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่าเรื่องของสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่คณะรัฐมนตรีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเคยได้สร้างปรากฏการณ์ลาการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนหรือไม่? ซึ่งในเรื่องนี้เองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ คนใหม่อย่างนายชัชชาติ ก็ลั่นว่าจะดูในเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวในบางมุมอีกด้วย
แม้จะยังหาข้อสรุปไม่ได้ เกี่ยวกับเรื่องสัมปทานสายสีเขียวดังกล่าว แต่ก็อย่างน้อยที่สุด จากเหตุการณ์นี้ก็บ่งบอกได้ว่าพรรคภูมิใจไทยเองก็มีเอกลักษณ์ในการเดินเกมเฉพาะตัว แม้จะถือเป็นทีมรัฐบาล แต่ในมุมพรรคการเมือง ก็คงต้องมีจุดยืนบางอย่างโดยเฉพาะปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ก็คงต้องดูว่าการประชุมสภาฯ ที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อๆ ไปนี้ พรรคภูมิใจไทยจะยังคงเป็นกำลังหลักในสภาฯ ที่ช่วยพารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ผ่านทุกอุปสรรคต่อจากนี้ได้ตลอดหรือไม่?
เพราะในสมัยประชุมนี้ ที่นอกจากพ.ร.บ.งบประมาณที่ฝ่ายค้านเองก็ดูจะมีความพยายามในการคว่ำพ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2566 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กำหนดความอยู่รอดของรัฐบาล ด้วยการโจมตีว่าเป็นการจัดงบประมาณที่ไม่สอดรับกับสถานการณ์ รวมถึงข้อถกเถียงในเรื่องนายกฯแปดปี ที่จะเกิดขึ้นในสมัยประชุมนี้ ที่สุดท้ายหากไม่สามารถคว่ำเสียงโหวตได้ แต่หากสามารถดิสเครดิตรัฐบาลได้ต่อเนื่องจะมีผลต่อการเลือกตั้งด้วยแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องคอยติดตามดูต่อไปว่า การยกมือโหวตผ่านพ.ร.บ.งบประมาณ ประจำปี 2566 ผลที่ออกมาจะออกมาในรูปแบบใด? จะมีคะแนนจากพรรคไหน
มาโหวตเพิ่มให้หรือไม่ ในสภาพแวดล้อมรอบๆ พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนไป
“บุรุษที่ปราศจากความทะเยอทะยานอยาก ไม่อาจนับเป็นบุรุษที่แท้จริง”
ยอดมือปราบ จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี