ผ่านมาแล้ว 2 ปีเศษ ที่ประเทศไทยมีมาตรการแบน2 สารเคมีเกษตร “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส” ซึ่งสืบเนื่องจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 กำหนดให้พาราควอตกับคลอร์ไพริฟอสเป็นสารต้องห้ามเด็ดขาด ขณะที่ “ไกลโฟเซต” ยังไม่ถึงขั้นถูกห้ามแต่ให้ควบคุมจำกัดการใช้ โดยมาตรการเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2563 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม หากยังจำกันได้ กว่าจะมาถึงการออกมติครั้งนั้น มีการถกเถียงโต้แย้งกันอย่างกว้างขวาง ระหว่างฝ่ายที่กังวลเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม กับฝ่ายที่เห็นว่าด้วยต้นทุนแล้วยังจำเป็นต้องใช้
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสได้พูดคุยกับ จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และอดีตผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร ที่ไปร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนา “เคมี พระเอกหรือผู้ร้าย ครั้งที่ 3”หัวข้อ “อินทรีย์-เคมี โอกาสของไทย ภายใต้วิกฤตอาหารโลก”จัดโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าปุยและธุรกิจการเกษตร ว่า 2 ปีผ่านไป เกษตรกรไทยเป็นอย่างไรบ้าง
“เราบอกว่าประเทศเราอันตราย ต้องเลิกใช้พาราควอตญี่ปุ่นใช้นะ ใช้ทุกพืชเลย ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ แล้วโปรเฟสเซอร์(Professor-ศาสตราจารย์) ญี่ปุ่นเขาถาม จรรยา..บ้านคุณนี่บ้าหรือเปล่าที่แบนเครื่องมือที่ดีที่สุดของคุณ การกินแล้วตายมันเป็นเรื่อง Miss Used (การใช้ในทางที่ผิด) คือเขาไม่เคยเขียนข้างขวดว่ากรุณาเอาไปดื่มฆ่าตัวตาย เขาบอกมันเป็นสารอันตรายห้ามกิน ทุกประเทศเขาก็ Manage (บริหารจัดการ) ไป ว่าถ้ามีคนฆ่าตัวตาย
ถามว่าอเมริกาใช้ไหม? อเมริกายังใช้ อเมริกาจำกัดการใช้พาราควอตเพราะเขาก็มีปัญหาการกินตายเหมือนกัน อย่างคนงานที่มาจากเม็กซิโก จากอะไร เขาก็มีปัญหา เขาก็ใช้วิธี โอเค! เขาก็วิเคราะห์ปัญหาอยู่ที่ไหน ปัญหาคือมันเทง่าย เทแบ่งใส่ขวดไป แล้วก็ไปใส่ขวดเครื่องดื่มแล้วก็กิน ดังนั้นในอเมริกาเขาก็ออกกฎว่าต่อไปนี้ให้บริษัทไปปรับภาชนะของตัวเอง ห้ามแบ่งขาย แบ่งขายไม่ได้ คือจับโยนใส่รถแทรกเตอร์พ่นได้เลย”
แม้จะผ่านมาแล้ว 2 ปี แต่จากคำกล่าวข้างต้น จรรยายังคงยืนยันว่า แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังมีประเทศที่ใช้สารเคมีเกษตรอย่างพาราควอตกันเป็นปกติ ไม่ถึงขั้นสั่งห้ามเด็ดขาดแต่ใช้ภายใต้กฎระเบียบควบคุม อาทิ กรณีของ สหรัฐอเมริกา นอกจากจะปรับรูปร่างขวดไม่ให้เอื้อต่อการนำไปใช้ฆ่าตัวตายแล้ว ผู้ที่จะใช้ต้องได้รับใบอนุญาตด้วย รวมถึงการใช้ก็ต้องปฏิบัติตามแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและมีบทลงโทษตามกฎหมายหากฝ่าฝืน ในขณะที่ประเทศไทย ที่ผ่านมาเกษตรกรใช้สารเคมีกันอย่างไรก็ได้ เพราะใช้ผิดวิธีก็ไม่ถูกลงโทษ
ขณะเดียวกัน “2 ปีของการแบน มีรายงานพบการลักลอบจำหน่ายในตลาดมืด ไปจนถึงประกาศขายกันแบบโจ๋งครึ่มบนแพลตฟอร์มออนไลน์” ร้านค้าบางแห่งเป็นที่รู้กันในชุมชนว่ามีพาราควอตขาย แต่จะขายให้เฉพาะคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น หรือไม่ก็สั่งซื้อทางออนไลน์ มีสินค้าพร้อมไปส่งให้ถึงบ้านโดยเกษตรกรไม่ต้องผ่านการอบรมใดๆโดยการสั่งซื้อออนไลน์นั้นยังพบไกลโฟเซต ที่เป็นสารคมีควบคุมและจำกัดการใช้ด้วย
“ปกติไกลโฟเซต จำกัดการใช้บอกว่าถ้าคุณมีพื้นที่ 100 ไร่ ปลูกยาง 100 ไร่ ซื้อไกลโฟเซตได้ไร่ละ 1 ลิตร แต่ถามว่าทุกวันนี้ถ้ามันซื้อออนไลน์ได้ใครจะไปสนใจคุณ แล้วพาราควอตยังมีขายอยู่หลังร้าน แต่เขาจะขายเฉพาะคนที่หน้าคุ้น แล้วราคา 2 เท่า แล้วถ้าใช้ไม่ได้เกษตรกรก็ร้องเรียนไม่ได้เพราะมันเป็นของเถื่อน ทำไมเราทำให้ของที่อยู่บนโต๊ะไปอยู่ใต้ดิน อันนี้ไม่เข้าใจ” จรรยา ระบุ
นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย เล่าต่อไปว่า มีความพยายามแบนสารเคมีเกษตรในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ มีช่วงหนึ่งที่สาร “เมโทมิล (Methomyl)” หรือที่คนทั่วไปคุ้นหูกับชื่อ “แลนเนท” ถูกนำไปใช้วางยาเบื่อสุนัข หรือใช้ฆ่าตัวตายกันมาก ทำให้องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) บางกลุ่มกดดันไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้แบนสารนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ถูกแบนเพราะการนำไปใช้ดังกล่าวนั้นผิดวัตภุประสงค์ และยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการใช้ฉีดพ่นกำจัดศัตรูพืชตามปกติเป็นอันตรายแต่อย่างใด
ส่วนเหตุผลที่นำมาสู่การแบนพาราควอต รวมถึงพยายามจะแบนไกลโฟเซต จรรยา ตั้งข้อสังเกตว่า งานวิจัยที่นำมาใช้สนับสนุนการแบนดังกล่าวทำการศึกษาอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่ เช่น มีการกล่าวอ้างว่าพาราควอตที่ตกค้างในดินสามารถซึมลงแหล่งน้ำใต้ดินหรือไหลลงแหล่งน้ำสาธารณะได้แต่ในการทดลองนำดินที่มีพาราควอตตกค้างไปใส่ร่วมกับน้ำแล้วเขย่าข้ามวันข้ามคืน เมื่อนำน้ำไปตรวจกลับไม่พบพาราควอตปนเปื้อนแต่อย่างใด ซึ่งการทำให้พาราควอตหลุดจากดิน ต้องนำดินไปต้มกับกรดซัลฟิวริกเข้มข้นเท่านั้น
หรือกรณีมีอาจารย์ท่านหนึ่งเผยแพร่ผลการศึกษาพบสารพาราควอตตกค้างในน้ำคร่ำและขี้เทาของแม่ที่คลอดลูก เรื่องนี้มีการไปติดตามสอบถามกันถึงโรงพยาบาลที่อ้างว่าใช้เก็บข้อมูล แล้วพบว่า 2 ใน 3 โรงพยาบาลที่ถูกอ้างถึงในงานวิจัย ยืนยันว่าไม่เคยทำงานวิจัยร่วมกับอาจารย์ท่านนี้ อีกทั้งยังไม่พบหลักฐานว่าคนไข้ที่มาคลอดลูกลงนามยินยอมให้ผู้วิจัยเก็บตัวอย่างไปศึกษา ดังนั้นงานวิจัยดังกล่าวยังหมิ่นเหม่กับประเด็นจริยธรรมของนักวิจัยด้วย
“ขี้เทาของเขา ใน Paper (เอกสารงานวิจัย) บอกว่าเก็บมา 5 ปี ใส่ Freezer (ตู้แช่แข็ง) ไว้ ลบ 80 องศา ถามว่าProtocol (แนวปฏิบัติ) ที่ถูกต้องเขาให้เก็บไว้เดือนหนึ่งแล้ววิเคราะห์ให้หมดภายใน 1 เดือน แต่คุณเก็บไว้ 5 ปี ถึงจะลบ 80 องศา ขั้วโลกลบกี่องศา มันยังเกิดเชื้ออะไรพวกนี้ได้ แล้ววิธีการตรวจวัดของเขามันก็ไม่ใช่มาตรฐานของการตรวจพาราควอต อันนี้เราขอให้เขาตอบ เขาก็ใช้วิธีจัดประชุมแล้วไม่ให้ใครเข้า ไม่ให้สื่อเข้า พูดกันเองแล้วก็สรุปว่าของเขาถูก” จรรยา ตั้งข้อสังเกต
ในตอนท้ายของการสนทนา จรรยา ย้ำว่า 1.มาตรการที่ออกมาต้องตั้งอยู่บนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ เช่น กรณีอ้างว่าไกลโฟเซตเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ฟันธงได้ว่าจริง มีเพียงใช้คำว่า “อาจจะ” เท่านั้น และนั่นทำให้ไทยจำกัดการใช้ไม่ถึงขั้นแบน 2.การออกมาตรการต้องทำเท่าที่จำเป็นจากเบาไปหาหนัก เริ่มจากจำกัดการใช้ควบคุมการใช้อย่างเข้มงวด หากยังมีปัญหาอยู่มากจึงค่อยยกระดับสู่การแบน และ 3.ต้องมีช่วงเวลาปรับตัว และให้ทางเลือกที่ทดแทนได้จริงด้วย ดังที่ในยุโรปแบนสาร “กลูโฟซิเนต (Glufosinate)” ยังให้เวลาถึง 10 ปี
“เกษตรกรบอกว่า..บอกมาสิว่าจะให้ทำอย่างไร เขาทำได้หมด เราต้อง Educate (ให้ความรู้) เขาพร้อมที่จะ Educate ด้วย คืออย่าไปมองเกษตรกรเป็นภาพโบราณนานกาเลแล้ว มันไม่ใช่แล้ว” จรรยา กล่าวทิ้งท้าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี