แชงกรี-ลา (Shangri-La) เป็นดินแดนสมมุติที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง Lost Horizon ของเจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1933 ฮิลตัน พรรณนาว่า แชงกรี-ลาเป็นดินแดนลึกลับอยู่ในเทือกเขาสูงชันทอดยาว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาคุนลุน ในนวนิยายกล่าวว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนมีชีวิตยืนยาว มีความสุข อาจกล่าวได้ว่า สถานที่นี้เปรียบเหมือนสวรรค์บนดิน
แชงกรี-ลา ไดอะล็อก หรือ Shangri-La Dialogue เป็นเวทีการประชุมระหว่างรัฐบาลต่างๆ ด้านความมั่นคงจัดขึ้นปีละครั้ง โดย สถาบันยุทธศาสตร์ศึกษานานาชาติ (IISS) สถาบัน Think Tank ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษผู้เข้าร่วมประชุม คือ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีหัวหน้าคณะผู้แทนและผู้นำทหารของประเทศเอเชีย-แปซิฟิก 28 ประเทศ จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2002
แชงกรี-ลา เป็นดินแดนสมมุติ เมื่อใช้คำว่าแชงกรี-ลา ไดอะล็อก จึงเป็นเรื่องสมมุติที่ผู้เข้าร่วมพูดคุยต่างก็ละเมอเพ้อพกไปตามจินตนาการของตัวเอง หรือพูดถึงข่าวสารที่ตัวเองเสพมาด้านเดียว ซึ่งมันอาจตรงกันข้ามกับโลกความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
เช่น เดือนพฤษภาคม 2565 คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกิ้นส์ เข้าไปสำรวจความพร้อม เรื่องเตรียมการเลือกตั้งในเมียนมาซึ่งจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม 2566 เมื่อผลการวิจัยเปิดเผยออกมาว่า สหภาพเมียนมาเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคมปีหน้า
สหรัฐอเมริกาและสมุนบริวารก็พากันออกมาโวยวาย นางโนลีน เฮเซอร์ ทูตพิเศษยูเอ็นในกิจการเมียนมา โวยวายในแชงกรี-ลา ไดอะล็อกว่า “อย่าพูดถึงการเลือกตั้งเลย เพราะหากประชาชนไม่ศรัทธาในระบอบเลือกตั้ง การเลือกตั้งจะนำไปสู้ความรุนแรงมากขึ้น...สิ่งต้องพูดตอนนี้คือให้รัฐบาลทหารเมียนมาหยุดฆ่าประชาชน แล้วหันมาสู่แนวทางเจรจาอย่างสันติ..”
ทูตพิเศษยูเอ็นในกิจการเมียนมาคนนี้ ไม่เคยได้เหยียบแผ่นดินเมียนมาเลยเพราะเธอมาจากดินแดนสมมุติ เป็นคนฟังความข้างเดียวจากการโฆษณาชวนเชื่อ
ของอเมริกาว่าทหารเมียนมาฆ่าประชาชนไปแล้วกว่า 1,800 คนตั้งแต่ยึดอำนาจ
ด้านนายเดเรค โชเลต์ ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า“ไม่มีทางเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งในเมียนมาจะยุติธรรมและเสรี รัฐบาลทหารต้องกำหนดผลการเลือกตั้งไว้ล่วงหน้า” และกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลทหารเมียนมากำลังสูญเสียอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียพื้นที่อิทธิพลให้กับพีดีเอฟ (พีดีเอฟ=กองกำลังพิทักษ์ประชาชนที่สหรัฐและตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯหนุนหลัง)
นายโชเลต์และสื่อตะวันตก สร้างกระแสข่าวปั่นหัว พีดีเอฟเหมือนกับการปั่นหัวหลอกลวงนายเซเลนสกี ในยูเครนว่า กองทัพรัสเซียกำลังเพลี่ยงพล้ำยูเครนจะชนะสงคราม
นายโชเลต์ปั่นกระแส พีดีเอฟ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงว่า กองทัพเมียนมามีศักยภาพที่สูงสุดในอาเซียน ซึ่งมีทหารบกประจำการกว่า 500,000 นาย มีทหารเรือ ทหารอากาศ ที่พร้อมรบมากกว่ากลุ่มชาติทั้งหมดรวมกันทั้งหมดถึงหกเท่า กองทัพเรือเมียนมา มีเรือดำน้ำ 4 ลำ มีเครื่องบินรบมิก ของรัสเซียหนึ่งฝูง 16 ลำ มีรถถังรถหุ้มเกราะสองพันกว่าคัน
เมียนมาเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีระบบป้องกัน และต่อต้านขีปนาวุธของรัสเซียติดตั้งไว้
ด้านพีดีเอฟ กองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลเงาหรือเอ็นยูจี ที่วอชิงตันสร้างขึ้นมาซึ่งทหารเมียนมาเรียกกองพันปืนแก๊ป คือ มีปืนแก๊ป ที่คนรุ่นพ่อรุ่นปู่ใช้ล่าสัตว์ เป็นอาวุธที่พีดีเอฟนำมาต่อสู้กับทหารเมียนมา จึงเปรียบเหมือน สุนัขจิ้งจอก ต่อสู้กับ ราชสีห์
พีดีเอฟทำได้อย่างมากก็ลอบวางระเบิดก่อกวนแล้วหนี ไปปะปนกับชาวบ้านใช้ชาวบ้านในชนบทเป็นเกราะกำบังตัว
คนวัยห้าสิบปีขึ้นไป นึกถึงภาพหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 คงจำได้ว่าหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่กลางเมืองครั้งนั้น นักศึกษานับพันๆ คนหนีเข้าไปจับปืนร่วมรบกับทหารป่าหรือทหารพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
นศ.บางคนฝึกอาวุธเบื้องต้นแล้วถูกส่งออกมาดักซุ่มโจมตีตำรวจทหาร เมื่อถูกตามล่าก็หนีเข้าป่าซ่อนตัวตามหมู่บ้านชนบท ชาวบ้านบางส่วนก็สงสารให้อาหารให้ที่หลบซ่อน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่จำใจต้องร่วมมือให้เสบียงแก่ทหารป่าเพราะกลัวเป็นอันตรายกลัวอิทธิพลของทหารป่า ในเวลาเดียวกันก็กลัวอิทธิพลภายใต้กระบอกปืนของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
โชคดีที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ออกคำสั่ง 66/2523 เปิดโอกาสให้ นศ.และทหารป่าได้ออกมาร่วมพัฒนาชาติไทย
กองกำลัง พีดีเอฟ ในเวลานี้ก็มีสภาพเดียวกับนศ.ไทยที่หนีเข้าป่าในทศวรรษ 2520 เมื่อต้นเดือนมิ.ย. รัฐบาลทหารเมียนมาออกประกาศให้กองกำลังติดอาวุธที่ต่อต้านรัฐบาลทหารรวมทั้ง พีดีเอฟวางอาวุธ แล้วมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะได้เตรียมตัวให้พร้อมร่วมมือกันสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติ (คล้ายๆ กับคำสั่ง 66/2523) โดยมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยหลายพรรค
รัฐบาลทหารใช้เครื่องบินเล็กและเฮลิคอปเตอร์โปรยทิ้งใบปลิวตามหมู่บ้าน ที่มีรายงานว่าพีดีเอฟ หลบซ่อนตัว แต่พอพีดีเอฟ ได้อ่านใบปลิว สื่อตะวันตก
โดยเฉพาะบีบีซีเสนอข่าวในทำนองว่ารัฐบาลทหารหลอก พีดีเอฟไปฆ่า
“พีดีเอฟหลายคนที่มอบตัวแล้วสูญหายไปจากครอบครัวหลังจากมอบตัวไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย” บีบีซีรายงาน และสาธยายต่อไปว่า พีดีเอฟ หลายคนบอกกับ บีบีซีว่าอยากมอบตัวแต่กลัวจะไม่ปลอดภัย ส่วนบางคนบอกบีบีซีว่า ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสู้ต่อไป “ผมตัดสินใจแล้วจะสู้ต่อไปจนกว่ารัฐบาลทหารออกไป” สหาย พีดีเอฟ คนหนึ่งบอกกับบีบีซีทางโทรศัพท์
ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ส นายโชเลต์ ยังกล่าวด้วยว่า “รัฐบาลทหารเมียนมา ไม่เพียงแต่ถูกโดดเดี่ยวในประเทศเท่านั้น เพราะประชาชนหันหลังให้ไม่คบค้าสมาคมไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เสียภาษี แต่รัฐบาลทหารเมียนมา ยังถูกประชาคมนานาชาติคว่ำบาตรจนเศรษฐกิจสังคมล่มสลาย”
นายโชเลต์สมกับที่ร่วมประชุมแชงกรี-ลา หรือประชุมในดินแดนสมมุติ เพราะไม่ได้มองโลกตามความจริงว่าเศรษฐกิจเมียนมายังเดินหน้าต่อไปได้ จากความร่วมมือของประเทศเพื่อนบ้านและมหามิตรที่คบค้ากันมานาน ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย รัสเซียและสมาชิกประชาคมอาเซียน
จากสถิติของสำนักงานลงทุนเมียนมา พบว่า ตั้งแต่ยึดอำนาจมาครบสิบห้าเดือน การลงทุนจากต่างชาติในเมียนมาเพิ่มขึ้นกว่า 12,000 ล้านบาท และประเทศที่ลงทุนในสหภาพเมียนมา มากเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ สิงคโปร์ อันดับสองคือ จีน และอันดับสามคือ ประเทศไทย
นับเฉพาะตั้งแต่ 1 ก.พ.2564 ถึงปัจจุบัน สิงคโปร์ลงทุนเพิ่มในเมียนมากว่า 8.4 แสนล้านบาท รองลงมาคือจีนลงทุนเพิ่มกว่า 7.6 แสนล้านบาทส่วนประเทศไทยลงทุนเพิ่มกว่า 3.8 แสนล้านบาทด้านรัสเซียผู้ขายอาวุธรายใหญ่ให้เมียนมาตั้งแต่1 ก.พ.2564 รัสเซียลงทุนเพิ่มในเมียนมา 30% เฉพาะปี 2565 รัสเซียลงทุนในเมียนมาไปแล้วกว่า3,000 ล้านบาท ในบรรดาประเทศเอเชียก็มีแต่ญี่ปุ่นที่ลดการลงทุนในเมียนมาไป 11% ส่วนอินเดีย ยกเลิกการสร้างเรือในทะเลอันดามันชายฝั่งเมียนมา
สิงคโปร์ซึ่งมองจากภายนอก คือลูกกระจ๊อกของอเมริกา สื่อสิงคโปร์ออกข่าวโจมตีรัฐบาลทหารเมียนมามากกว่าสื่อประเทศใดๆ ในอาเซียน แต่เมื่อมาดูด้านการลงทุน สิงคโปร์ไม่คว่ำบาตรเมียนมาตามสหรัฐ แถมยังลงทุนเพิ่มอีก ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา สิงคโปร์เป็นประเทศที่ลงทุนในเมียนมามากที่สุดโลกรวมการลงทุนทั้งหมดจนถึงปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 12,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
วอชิงตันแสดงความไม่พอใจอย่างมากที่สิงคโปร์ปล่อยให้สหภาพเมียนมาทำธุรกรรมการเงินผ่านสิงคโปร์ได้ แต่สิงคโปร์อ้างว่าสิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในเอเชียและกฎหมายธนาคารสิงคโปร์เข้มงวดมาก ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลบัญชีธนาคารของลูกค้าได้เหมือนกฎหมายธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์
เจอไม้นี้เข้าทำให้สหรัฐฯนั่งปากอ้าถือว่าเป็นการพูดในดินแดนสมมุติกันต่อไป
ในที่ประชุมดินแดนสมมุติหรือแชงกรี-ลา ไดอะล็อกเห็นมีแต่ คุณพรพิมล กาญจนลักษณ์ ผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไทยในกิจการเมียนมา ที่ได้พูดโลกความเป็นจริงว่า “ขอให้เลิกติดกับวัฒนธรรมคว่ำบาตร(แบน)แล้วเดินทางไปแม่สอดพบกับผู้ลี้ภัยต่อหน้าแล้วพวกท่านจะรู้ว่ารัฐบาลทหารเมียนมาปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร”
คุณพรพิมลหมายความอย่างไร ไม่สามารถอธิบายได้ เพราะสื่อต่างประเทศรายงานสิ่งที่เธอพูดในโลกสมมุติเพียงเท่านั้น
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี