บรรดา “กองแช่ง” ที่ออกมาปั่นกระแสว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะวิกฤต ดิ่งเหวแน่ๆ ถ้าประยุทธ์ยังอยู่ ก็ยังคงพยายามวาดภาพร้ายๆ ต่อไปเรื่อยๆ แม้จะผิดซ้ำซากอย่างไรก็ตาม
1. เมื่อวานนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แถลงรายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ยืนยันชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน ภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของการผลิต
ภาคอุตสาหกรรม
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจไทยที่น่าสนใจ ดังนี้
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทยอยปรับดีขึ้นตามการสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มากขึ้น
การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน ทั้งการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการลงทุนด้านการก่อสร้าง สอดคล้องกับการฟื้นตัว
ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโดยรวม
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในเกือบทุกสัญชาติจากการที่ภาครัฐยกเลิกการลงทะเบียนเข้าไทยผ่านระบบ Test & Go ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2565 และอนุญาตให้เดินทางผ่านชายแดนไทยได้มากขึ้น อีกทั้งหลายประเทศต้นทางได้ผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกสินค้า (ไม่รวมทองคำ) ปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนตามการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปรับลดลงหลังจากที่เร่งไปในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ การส่งออกชิ้นส่วนและยานยนต์ปรับลดลงจากการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตของรถยนต์นั่ง อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าในหลายหมวด อาทิ สินค้าเกษตร โลหะ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่ยังขยายตัว
การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในหลายหมวด อาทิ หมวดยานยนต์ หมวดปิโตรเลียม หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตามการผลิตรถกระบะ การผ่อนคลายมาตรการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบริโภคในร้านและการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ ขณะที่การผลิตหมวดชิ้นส่วนและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ลดลงสอดคล้องกับการส่งออกแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับลดลง
มูลค่าการนำเข้าสินค้า (ไม่รวมทองคำ) ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ทั้งการนำเข้าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นมาก
และการนำเข้าวัตถุดิบอื่นๆ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับเพิ่มขึ้น
การใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการเบิกจ่ายงบกลางเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแก้ไขปัญหา COVID-19เป็นสำคัญ
การเบิกจ่ายของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจขยายตัว ตามการเบิกจ่ายในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
รายจ่ายลงทุนหดตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการเบิกจ่ายด้านคมนาคมซึ่งได้เร่งไปในช่วงก่อน
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นจากเดือนก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันขายปลีกตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น ตามราคาอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารเป็นสำคัญ
ตลาดแรงงานฟื้นตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ
ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลง จากดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลน้อยลง
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ
สรุปไตรมาสที่ 2 ปี 2565 “เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนโดยการบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นจากหมวดบริการเป็นสำคัญ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดและมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้ภาคการค้าและภาคบริการฟื้นตัว และการลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวจากรายจ่ายประจำและเงินโอนภาครัฐเป็นหลัก..”
2. การประชุม ครม. วันก่อน นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะ ก็เพิ่งอนุมัติมาตรการรักษาระดับกำลังซื้อ เพื่อบรรเทาผลกระทบค่าใช้จ่ายให้ประชาชน เพื่อรักษาแรงฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างพอเหมาะพอเจาะ
โดย ครม.อนุมัติตามประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) เสนอมาที่สำคัญ คือ
อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 5 กรอบวงเงิน 5,336 ล้านบาท และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 3 กรอบวงเงิน 890 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพปรับสูงขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ
อนุมัติโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 กรอบวงเงินรวม 21,200 ล้านบาทเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มอุปสงค์การบริโภคและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ รวมถึงเกิดการลงทุน ตลอดจนลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้น
รวมเป็นเงินประมาณ 27,000 ล้านบาท อัดฉีดตรงเข้ากระเป๋าประชาชนจำนวนหลายสิบล้านคน
3. ล่าสุด รายงานตามติดเศรษฐกิจไทย ประจำเดือนกรกฎาคม ของธนาคารโลกประจำประเทศไทย World Bank Thailand รายงานชี้ชัดอีกครั้งว่า
“เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาสที่สองของปี 2565 โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคของภาคเอกชน การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และการส่งออกสินค้า คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาสูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโควิดในไตรมาสที่สี่ และจะขยายตัวที่ 4.3% ในปี 2566
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นแตะ 521,410 ในเดือนพฤษภาคม จาก 293,350 ในเดือนก่อนหน้า คิดเป็น 19% ของช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019
อัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 7.66% ในเดือนมิถุนายน จาก 7.1% ในเดือนก่อนหน้า จากผลของราคาพลังงานและราคาอาหารสดที่สูงขึ้นเป็นหลัก...”
4. จากข้อมูลทั้งหน่วยงานเศรษฐกิจในประเทศที่เชื่อถือได้ องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงสถาบันจัดอันดับเครดิตประเทศ ฟันธงได้เลยว่า หากรัฐบาลปัจจุบันบริหารประเทศต่อเนื่องต่อไป เศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจะไม่เกิดวิกฤตเลวร้ายลงไปอีกเหมือนที่นักการเมืองบางกลุ่มพยายามปั่นกระแสเพื่อสร้างความหวาดกลัว บ่อนทำลายความเชื่อมั่น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี