“บ่อนการพนัน” เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย “ตำรวจ” พบเห็นต้องจับกุมทันที แต่ในขณะนี้ “การพนัน” เป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้วไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะรู้จักการพนัน กันทั้งนั้น แม้กระทั่งเด็กอายุตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไปก็รู้จักการพนัน...ขณะที่แม่จูงลูกอายุประมาณ 5 ขวบ เดินผ่านบ่อนการพนันซึ่งมีคนในเครื่องแบบกำลังนั่งเล่นการพนันกันอย่างสนุกสนานอยู่บริเวณใต้ถุนแฟลตแห่งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กเล็กเดินผ่านกลุ่มประชาชนและเด็กอายุประมาณ 9 ขวบนั่งเล่นการพนันอยู่ด้วย เด็กที่แม่จูงเดินมาปรี่เข้าไปที่วงการพนันทันที แม่ที่จูงลูกมาฉุดมือลูกไว้แล้วห้ามไม่ให้ลูกเดินเข้าไปในบ่อน แต่เด็กพูดสวนกลับมาทันทีว่า “แม่รู้ไหมบ่อนการพนันใครว่าเด็กเข้าไม่ได้หนูยังเห็นเพื่อนหนูเขาเข้าไปเล่นกันเลยใครว่าเด็กเข้าไปเล่นการพนันไม่ได้” จริงที่เด็กพูด ยุคนี้พ่อแม่บางคนที่เดินเข้าบ่อนมักจะจูงลูกเข้าไปด้วยและนำของที่เด็กเล่นเข้าไปนั่งเล่นในบ่อนด้วยแต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายจะให้กระโดดเล่นข้างๆ บ่อน...กฎหมายที่มีอยู่ระบุห้ามเล่นการพนัน แต่ขณะนี้ผู้รักษากฎหมายบางคนละเลยการใช้กฎหมายและยังจูงเด็กเล็กๆ เข้าไปกระโดดโลดเต้นในบ่อนอีกด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่บางคนยังปฏิบัติตามกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าไปเล่นการพนันตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นจะเข้าไปที่ทำงานเฉพาะต้องไปลงชื่อในเอกสารเท่านั้น...
กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่เจ้าหน้าที่ที่รักษากฎหมายบางคนฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเข้าไปนั่งเล่นการพนันกับผู้เล่นการพนันอย่างสนุกสนาน มีเงินกองอยู่ที่หน้าตักจำนวนมาก ทำให้นักเล่นการพนันออกมาพูดคุยให้ประชาชนข้างนอกฟังและยังคุยอวดว่ารู้จักคนในเครื่องแบบยศใหญ่ในโรงพัก ถ้าใครถูกจับคดีเล็กน้อยสามารถเป่าคดีและปล่อยตัวออกมาเดินอย่างปกติได้เหมือนเดิม...ทำให้คนที่เขาเห็นมีความรู้สึกว่ากฎหมายการพนันในยุคนี้จะผิดหรือถูกอยู่ที่ “ค่าของคนเป็นคนของใคร” เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้กฎหมายไร้ความยุติธรรมไปโดยปริยาย ที่สำคัญถ้าใครเป็นเพื่อนหรือญาติและคนสนิทกับผู้รักษากฎหมายบางคนบางกลุ่มทำอะไรก็ได้ไม่ต้องกลัวกฎหมาย เนื่องจากผู้ที่ใช้กฎหมายที่เป็นเพื่อนกันบางคนสามารถเสกเป่าความผิดที่เกิดขึ้นให้ลดลงหรือมลายหายสิ้นทันทีได้ ทำให้กุ๊ยยุคนี้จึงไม่กลัวกฎหมายและยังสามารถเป่าเสกคดีที่เกิดขึ้นให้ความผิดที่เกิดขึ้นจากหนักเป็นเบาจากเบาเป็นหายวับไปกับตาได้ทันที...ทำให้ประชาชนคนธรรมดาต้องการคบค้ากับบรรดาคนมีสีบางคนที่สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้...
คนใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (สตช.) บางคนบางกลุ่มในยุคนี้มักจะใช้กฎหมายกับฝ่ายตรงกันข้ามกับพวกเขา ไม่ได้ใช้ความยุติธรรมกับฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคพวกของตนเอง ทำให้ประชาชนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมหันไปใช้อำนาจมืดกับศัตรูที่มีตำรวจบางนายบางกลุ่มเป็นพวกโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำให้สังคมเกิดความวุ่นวายประชาชนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากผู้รักษากฎหมายบางคนบางกลุ่มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากผู้ที่ทำความผิดมีผู้รักษากฎหมายเป็นพวกคอยเป่าคดีให้ สังคมจึงเกิดความวุ่นวายเนื่องจากตำรวจในพื้นที่ไม่ทำตัวเป็นกลางเล่นพรรคเล่นพวกทำให้ประชาชนไม่เกรงกลัวกฎหมาย แม้กระทั่งผู้ที่ชอบเล่นการพนันยังชอบคบกับผู้รักษากฎหมายเป็นพวก เพราะบางคนสามารถช่วยเป่าคดีที่ผิดให้เป็นถูกได้ บรรดามิจฉาชีพที่มีภาษาพูดเดียวกันกับผู้รักษากฎหมายบางคนบางกลุ่มจึงเต็มเมืองประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีพรรคพวกเป็นผู้รักษากฎหมายจึงมักจะเห็นผู้รักษากฎหมายเป็น “ศัตรู” ...สวัสดีครับ...
เกลือสมุทร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี