กรณีศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาคดีความแพ่ง ให้นายทักษิณ ชินวัตร (อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริตประพฤติมิชอบ คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ) ฝ่ายโจทก์ เป็นฝ่ายชนะคดี จากการได้ยื่นฟ้องกรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ฐานไปเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากนายทักษิณ 1.7 หมื่นล้านบาท จากธุรกรรมการขายหุ้นชินฯ นอกตลาดหลักทรัพย์เมื่อครั้งกระโน้น
คดียังอยู่ในระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา
ปรากฏว่า มีความพยายามออกมาบิดเบือนตีความคำพิพากษาแบบ “มั่วๆ” หรือแบบ “หน้าด้านๆ”
บางส่วน โมเมไปถึงขนาดว่า นี่สะท้อนว่าทักษิณเป็นผู้บริสุทธิ์ทุกคดีก่อนหน้านี้ !!!!
น่าสมเพชเวทนาในสติปัญญาอย่างยิ่ง
1. นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว
โดยเรื่องนี้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องยอมรับในคำพิพากษา ส่วนจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น ขอหารือกับอัยการก่อน โดยกรมสรรพากรพร้อมดำเนินการตามคำแนะนำของอัยการ
ด้านโฆษกกรมสรรพากร นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ระบุเช่นกันว่า กรมได้รับทราบคำตัดสินของศาลภาษีอากรกลางในคดีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้ว โดยกรมกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับอัยการสูงสุด ทั้งนี้ การอุทธรณ์การพิจารณาจะต้องดำเนินการภายใน 30 วันนับตั้งแต่ศาลมีคำตัดสิน และสามารถขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ไปได้อีก 30 วัน
“กรมอยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด และคดีนี้ยังไม่สิ้นสุด เพราะยังมีขั้นตอนการพิจารณาโดยศาลฎีกาอีก อย่างไรก็ดี ทางกรมจะต้องหารือกันว่าจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนอย่างไร ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ได้ทันวันที่ 18 ส.ค.นี้หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังให้คำตอบไม่ได้ ต้องรอผลหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดก่อน”
2. ที่มา-ที่ไปของคดี
กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีจากทักษิณ เป็นเงิน 17,629 ล้านบาท
ปรากฏข่าวทั่วไป เมื่อเจ้าหน้าที่ได้นำหนังสือแจ้งประเมิน ไปติดหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านเลขที่ 472 จรัญสนิทวงศ์ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2560
กรมสรรพากรระบุว่า นายทักษิณมีเงินได้พึงประเมิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,899 ล้านบาท เมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม คำนวณถึงวันที่ 31 มี.ค. 2560 รวมเป็นระยะเวลา 120 เดือน ทำให้มีเงินภาษีซึ่งทักษิณต้องจ่ายรวม 17,629 ล้านบาท ให้ไปชำระที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด
เป็นการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2549
สืบเนื่องมาจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ที่นายทักษิณเป็นเจ้าของตัวจริง แต่อำพรางไว้ในชื่อคนอื่น ก่อนจะขายต่อไปให้กลุ่มเทมาเส็ก
เนื่องจากในปี 2549 นายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป 1,487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินกว่า 73,271 ล้านบาท หลังซื้อมาจากแอมเพิลริช ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท
ย้ำ ไม่ใช่การประเมินรายได้จากการขายหุ้นในเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ฯแต่เป็นการขายหุ้นชินฯ จากแอมเพิลริชมาให้ลูกๆ ของทักษิณ นอกตลาดหลักทรัพย์ฯในราคาถูกกว่าท้องตลาด ส่วนต่างถือเป็นเงินได้
สรรพากรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นอมินีที่ถือหุ้นแทนนายทักษิณ มาไต่สวนเมื่อปี 2555 จึงถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยให้ถือว่าเคยออกหมายเรียกทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มี.ค. 2560 และถือว่าได้ส่งหนังสือประเมินให้นายทักษิณทันอายุความ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนายทักษิณยื่นอุทธรณ์
ปรากฏว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ชี้ชัดว่า การประเมินภาษีนายทักษิณ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลรัษฎากรและเป็นธรรมแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น
ระบุว่า ตามพฤติการณ์ผู้อุทธรณ์ หรือนายทักษิณ เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริงที่ต้องเสียภาษีอากร แต่ให้นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เป็นตัวแทนเชิดในการซื้อหุ้นชินคอร์ปจากแอมเพิลริช นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จึงมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากรและทำให้รัฐเสียประโยชน์ จึงไม่งดหรือลดเบี้ยปรับ
ฝ่ายนายทักษิณนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลภาษีอากร
ล่าสุด ศาลภาษีอากรมีคำพิพากษาออกมาในชั้นต้นให้ฝ่ายนายทักษิณชนะคดีนี้นั่นเอง
3. ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาว่าอย่างไร?
คำพิพากษาคดีความแพ่ง หมายเลขดำ ภ.220/2563 เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2565 จากการที่นายทักษิณเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากร นายประภาส สนั่นศิลป์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด จำเลยที่ 3 นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ จำเลยที่ 1-4 ผู้แทนกรมการปกครองในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง แต่เจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัทชินคอร์ปแต่อย่างใด โดยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ โจทก์จึงมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
มีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยยืนตามการประเมิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยที่ 2-4 กระทำไปตามอำนาจหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว
พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สรุป คดีนี้ ไม่มีผลไปเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาคดีต่างๆ ที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว อาทิ คดียึดทรัพย์ทักษิณ คดีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต คดีซุกหุ้น คดีหวยบนดิน
คดีที่ดินรัชดา ฯลฯ
ตรงกันข้าม ยิ่งตอกย้ำว่า ทักษิณซุกหุ้นไว้ในชื่อคนอื่นตามแนวทางที่ศาลฎีกาพิพากษาไว้เดิมเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คดีภาษีทักษิณ 1.7 หมื่นล้าน ยังไม่ถึงที่สุดรอว่าจะมีการอุทธรณ์กันหรือไม่ อย่างไร
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี