l 1.คนส่วนหนึ่งในสังคม มีความรัก ความปรารถนา ที่อยากจะทำให้กับส่วนรวม งานเพื่อส่วนรวม สามารถแบ่งงาน ออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ คือ
๑.งานที่ไม่เกี่ยวกับงานด้านการเมือง เช่น งานด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สาธารณสุข วิชาการ ฯลฯ
-การเป็นอาสาสมัคร ทำงานกิจการสังคมต่างๆ
-การเป็นสมาชิกกลุ่มองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร
-องค์กรภาคประชาชน องค์กรอิสระ
-สถาบันด้านสังคม วิชาการ ต่างๆ
ฯลฯ
๒.งานด้านการเมือง ที่มีบทบาททางอำนาจรัฐ ทั้งท้องถิ่น และระดับชาติ
สส. รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ผู้บริหารท้องถิ่นใหญ่ เช่น ผู้ว่าฯกทม. สก. นายกเมืองพัทยา นายกอบจ. นายกเทศมนตรี สจ. สข. ฯลฯ
l @ แต่เมื่อคนเรา อยู่ในสังคม
งานในส่วนแรก ก็ต้องเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่ได้เป็นอิสระ หรือ แยกออกไปได้ และที่สำคัญ คือ : การเมืองบ้านเรา ยังเป็น “การเมืองที่ด้อยคุณภาพ”
-มีคุณภาพ : คิดบวกสร้างสรรค์ กล้าเสียสละ ทำเพื่อส่วนรวมประชาชนมีส่วนรวม ให้ความคิดเห็นที่ดี มีคุณค่า ความหมาย มีประโยชน์ และพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ทำเพื่อส่วนรวม บ้านเมืองการนำเสนอข่าว มีสาระ ข้อเท็จจริง อ่านแล้วได้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง คนอยู่มีความสุข เดินก้าวหน้า ฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน ฯลฯ
-ไม่มีคุณภาพ : คิดลบ ทำลาย ใช้อำนาจโกงกิน แสวงผลประโยชน์เพื่อส่วนตัว พวกพ้อง ขาดการมีส่วนร่วม เอาแต่พรรคพวกคนใกล้ชิดสังคมมีแต่เสื่อมทรุด ความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม มีมากขึ้น สังคมเต็มไปด้วยข่าวเที่ยวกล่าวหาให้ร้านป้ายสีกันคนอยู่ไม่มีความสุข คนแสวงหาเพื่อตนเอง หวังเอาตัวรอด ไม่คิดถึงส่วนรวม ฯลฯ
l 2. ขอเน้นมาที่การเมืองระดับชาติ
สส. รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี (และ สว.)
เราจะเห็นผู้คนที่สนใจการเมือง และ ผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจฯ ต่างมุ่ง เดิน วิ่ง เข้าไปสู่การเมือง คือ การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เพื่อเข้าสู่ประตูการเมือง ตามความหวัง มุ่งมั่น ปรารถนา
ซึ่งไม่ได้ผิด เพราะในระบบการเมืองของโลก : ที่อ้าง “ความเป็นประชาธิปไตย” มีหนทางเดียว คือ การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เป็นบันไดแรก โดยการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือกลุ่มคนที่มีศักยภาพก็จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นฯ
แต่ผู้คน หรือกลุ่มบุคคลฯ ที่เดินทางสายนี้ มีประสบความสำเร็จน้อยและส่วนที่ประสบความสำเร็จทางการเมืองส่วนใหญ่ มักจะละทิ้งหรือ ลด “อุดมคติ” ของตนลง
นี่เป็นเรื่องที่ควรแก่การศึกษา เพื่อทำความเข้าใจ และหาทางแก้ไข เพื่อให้เข้าใจว่า
๑.เส้นทางการเมือง ที่เราเดินอยู่ จะสามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่การพัฒนาก้าวหน้าประชาชนส่วนใหญ่มีความสุข ความเจริญ ได้ไหม : เพราะอะไร?
๒.เส้นทางการเมืองที่ดี ถูกต้องเหมาะสม และสอดคล้องกับสังคมไทย ควรเป็นอย่างไร?
๓.และควรมีการสรุปบทเรียน ข้อเท็จจริง ทางประวัติศาสตร์ อย่างจริงจังเพราะ “สังคมไทย” ขาดการสรุปบทเรียน ข้อเท็จจริงข้อมูลที่ปรากฏหรือการอ้างอิงในปัจจุบัน มักมาจาก “ปัจเจกบุคคล” หรือกลุ่มบุคคลที่นำเสนอความจริงบางด้าน มิใช่ภาพรวมความจริงทั้งหมด
l 3.มาทำความเข้าใจที่มาและที่ไปอย่างสังเขป
หนึ่ง เรามาดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย การเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ที่ผ่านมา มีเส้นทางใดบ้าง
-๒๔๗๕ มีการปฏิวัติ โดยคณะราษฎร
-การเลือกตั้ง แบบเก่า
-การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของนักศึกษาประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
-การรัฐประหาร
-การเลือกตั้งยุคทุนสามานย์
-ฯลฯ
l สอง เราควรมาศึกษา สรุป ทบทวน “เส้นทางที่ผ่านมา”มีข้อดี ข้อเสีย หัวข้อที่ควรพิจารณา ในแต่ละเส้นทาง
(๑) มีความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
(๒) การมีส่วนร่วมของประชาชนส่วนใหญ่
(๓) มีความสอดคล้องกับสภาพและลักษณะของสังคมไทยที่เป็นจริงไหม
(๔) การบันทึก และการนำเสนอต่อสาธารณะ มีข้อมูลความถูกต้อง เพียงใด
(๕) การประเมินคุณค่า ต่อสังคมฯ
๑. ๒๔๗๕ การปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยคณะราษฎร มีความสำเร็จบางส่วน ในช่วงเริ่มต้น แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งใหญ่ทั้งภายในและภายนอก จึงไปต่อไม่ได้ หรือ ได้น้อย ฯลฯ
เราต้องมอง ความจริง ๒ ด้าน
หนึ่ง คุณูปการและเจตนารมณ์ที่ดี ในการเริ่มต้น
สอง การขาดประสบการณ์และบทเรียน ที่เป็นจริง และที่สำคัญคือความเข้าใจสภาพและลักษณะสังคมไทย ที่เป็นจริง ทำให้การนำ“ทฤษฎี และหลักประชาธิปไตยตะวันตก” มาใช้ในสังคมไทย โดยขาดการประยุกต์
๒.การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของนักศึกษาประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ใหญ่ มีนักศึกษาประชาชนเข้าร่วมมากที่สุด แม้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้ (เพราะกรอบคิดไปติดอยู่ที่การล้ม รัฐบาลที่เป็นเผด็จการ และความหวังที่สูงต่อ “รัฐธรรมนูญ” โดยมีความคิดความเชื่อว่า “หากมีรัฐธรรมนูญแล้ว” สังคมไทย จะดีขึ้น) (และการเปลี่ยนแปลง ที่ขับไล่รัฐบาลเก่าออกไปได้ มีพลังของกองทัพ อีกปีกหนึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญ) แต่ก่อเกิด “ความคิด และพลังของประชาชน ครั้งแรกๆของสังคม” ปลุกจิตสำนึกของประชาชน ในการใช้พลังของประชาชนในการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการตื่นตัวครั้งใหญ่ของประชาชน ในทุกกลุ่มทุกอาชีพฯ และก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยน แนวความคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ในระดับใหญ่
๓.การเลือกตั้ง แบบเก่า แม้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใหญ่ของสังคมได้ แต่ในช่วงแรก ดำเนินไปได้ดี ในบางระดับมีพรรคการเมืองที่ดี เป็นแบบอย่างได้ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคแนวคิดสังคมนิยม พรรคการเมืองใหม่ เช่น พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคแนวร่วมสังคมนิยม พรรคพลังใหม่ฯ
๔.การรัฐประหาร มี ๒ กรอบความคิด
หนึ่ง ตามทัศนะความคิด ตามกรอบเสรี ตะวันตกการรัฐประหาร คือ ความผิด โดยไม่จำเป็นต้องดูสภาพและความเป็นจริง
สอง ข้อสรุปในเชิงวิชาการ ตามสภาพความเป็นจริง มี ๒ ประการ คือ
(๑) การรัฐประหาร เพื่อ “ตนเองและพวกพ้อง” เป็นปัจจัยหลัก
(๒) การรัฐประหาร เพื่อ “เป็นทางออก” จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมใช้อำนาจบาตรใหญ่ กอบโกยโกงกิน ไม่เคารพกฎหมาย และรัฐธรรมนูญและยังคงใช้อำนาจต่อไป ไม่ยอมรับกติกา และเสียงคัดค้านใหญ่ของประชามหาชน
๕.การเลือกตั้ง ยุคทุนสามานย์
การเลือกตั้ง มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่พัฒนาไปทางที่เสื่อมลงใช้อำนาจ เงินทอง นักวิชาการ สื่อ มวลชนฯ เป็นใหญ่ : เช่น
-ปรากฏการณ์โรคร้อยเอ็ด : พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (การเลือกตั้งซ่อม ๙ สิงหาคม ๒๕๒๔) โรคร้อยเอ็ด เป็นคำที่ใช้เรียกปรากฏการณ์การใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งโรคนี้ได้ระบาด เป็นการซื้อสิทธิขายเสียงทั่วประเทศ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองของชาวบ้านคนไทยที่ต้องมีเงินมีทองหรือข้าวของติดไม้ติดมือเมื่อถึงฤดูเลือกตั้งทุ่มทุนครั้งใหญ่จากกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ ซื้อเสียงขายเสียง แจกเหล้าเบียร์ใช้ดารา ฯลฯ
-ยุค พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
-ยุค บรรหาร ศิลปะอาชา
ฯลฯ
-ยุคทุนสามานย์ ๒๕๔๔ ที่เป็นการเปลี่ยนการเลือกตั้ง เป็นธุรกิจการเมืองครั้งใหญ่ ที่ครบเครื่อง
เงินทองมหาศาล ซื้อเสียง ขายเสียง ซื้อกรรมการการเลือกตั้ง (บางส่วน)การใช้สื่อ ข้อมูลเท็จ การใช้นักวิชาการ นักล็อบบี้ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มวลชนฯ และต่างประเทศ การใช้ “โครงการใหญ่กลางเล็ก เป็นนโยบาย” ซื้อขายเสียงล่วงหน้า และผูกมัดหัวคะแนนและชาวบ้าน ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการซื้อเสียงขายเสียงของการเลือกตั้งต่อมา
ยุคที่มีการใช้วาจาสามหาว จาบจ้วงล่วงละเมิด โกหก หลอกลวง ใส่ร้ายป้ายสีครั้งใหญ่ เกิดจาก “นักเลือกตั้ง สส. จากพรรคฝ่ายค้าน”ที่มีความคิดอคติ ต่อ “สถาบันหลัก และต่อรัฐบาล” โดยไม่มีจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคมและบ้านเมืองฯ
l 4.การทำความเข้าใจ สภาพสังคมไทย มีทั้งทางตรงและทางอ้อม
๑.จากการลงพื้นที่ สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน กลุ่มอาชีพต่างๆ ในสังคมไทย อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยจุดเริ่มต้น ต้องศึกษา ค้นคว้า จากตำรับตำราทางวิชาการ จากนักวิชาการที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับรวมทั้งหลักฐาน ตำราจากต่างประเทศ (ที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย) ซึ่งเขามีการบันทึกเรื่องราวในประวัติที่ค่อนข้างดีกว่าในสังคมไทย
๒.การติดตามข่าวสาร ข้อมูล ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ไปอย่างต่อเนื่อง
l เช่น การปาฐกถา ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
หัวข้อ “แนวทางส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (1 ก.ย. 2565) ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา
“การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นอัตลักษณ์อันโดดเด่นของประเทศไทยประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญ การหล่อหลอมวิถีชีวิตประเพณีและวัฒนธรรมของชาติไทยจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันสังคมไทยมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นและยังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงจากโลก สังคมโลก และสังคมประเทศ ในประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
“เหตุปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในอดีตที่ผ่านมาบ้านเมืองของเราจะเคยวิกฤต แต่ประเทศไทยก็รอดพ้นได้เสมอมา เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติให้มีความรู้รักสามัคคี เข้มแข็ง ทำให้ประเทศมีความมั่นคงจนบัดนี้
การส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สามารถทำได้หลากหลายวิธีซึ่งทุกท่านในนี้สามารถเป็นผู้นำทางความคิดในการถ่ายทอดความเป็นแบบอย่างของพลเมืองที่มีวิถีชีวิตประชาธิปไตยให้กับคนทั่วไป” โดยเฉพาะการปลูกฝังให้เด็กเยาวชนเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์และพร้อมที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแรง วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่มีการเสริมสร้างความรู้ ขยายความเข้าใจ และความเปลี่ยนแปลงความคิดจากทุกภาคส่วนภายใต้สังคมประชาธิปไตย
ขออวยพรให้การสัมมนาครั้งนี้จงประสบความสำเร็จ
ขอให้ผู้ร่วมสัมมนาทุกท่านจงมีความคิดในการที่จะพัฒนาระบอบการเมืองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้อย่างกว้างขวาง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี