ภาพตึกแฝด World Trade Center บนเกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก ถูกเครื่องบินพาณิชย์สองลำพุ่งชน โดยลำแรกชนตึกด้านเหนือก่อน แล้วจากนั้นไม่กี่นาทีเครื่องบินอีกลำก็พุ่งเข้าชนตึกด้านใต้เหตุการณ์สยองขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 11กันยายน 2001 เวลา 08.45 นาฬิกา ส่วนเครื่องบินอีกลำพุ่งเข้าชนตึกด้านใต้ เวลา 09.30 นาฬิกา เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกชั้นที่ 80 ของตึกที่มีความสูงทั้งหมด 110 ชั้น เครื่องบินโดยสารกลายเป็นเสมือนขีปนาวุธอานุภาพทำลายล้างร้ายแรงไปโดยปริยาย
เหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นทำให้ผู้คนล้มตายประมาณ 3,000 คน และบาดเจ็บอีกนับพันคน หลายคนเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการกระทำของคนกลุ่มหนึ่ง จำนวน 19 คน ในนามของกลุ่มก่อการร้ายอัล-เคดา (Al Qaeda)
การก่อการร้ายในวันดังกล่าวนั้นถูกระบุว่ามีเครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมด 4 ลำถูกจี้เพื่อนำไปก่อเหตุ โดยสองลำก่อเหตุที่ตึกแฝด World Trade Center ส่วนเครื่องบินอีกสองลำถูกจี้เพื่อหวังให้เกิดเหตุร้ายที่เพนตากอน และทำเนียบขาว โดยเครื่องบินลำที่ 3 พุ่งเข้าชนตึกเพนตากอน ที่อาร์ลิงตัน มลรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขตกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนเครื่องบินลำที่ 4 ถูกยิงตกที่เมืองแชควิลล์ มลรัฐเพนซิลวาเนีย
ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินจากสนามบินทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา คือจากสนามบินนานาชาติโลแกน เมืองบอสตัน และจากสนามบินนานาชาติดัลเลส กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และจากสนามบินนานาชาตินวร์ก มลรัฐนิวเจอร์ซี
การก่อการร้ายครั้งนั้นมิได้สร้างความเสียหายให้เฉพาะกับชาวอเมริกัน และประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ทำให้โลกทั้งโลกได้รับความเสียหายอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้ภายในพริบตา และเป็นการบ่งบอกว่ามนุษยชาติยังสามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงให้เกิดกับมนุษย์ด้วยกันได้โดยปราศจากมนุษยธรรม
หลังจากเกิดเหตุเครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดประมาณ 2 ชั่วโมง ตึกที่สูงระฟ้าที่นับได้ว่าเคยสูงที่สุดในโลกก็พังทลายลงมา ทำให้มหานครนิวยอร์กถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและควันจนมืดครึ้มไปทั้งเมือง
หลังเกิดเหตุ 9/11 โลกทั้งโลกก็ประสบความปั่นป่วนโดยพลัน ความโกลาหลบังเกิดขึ้นในพริบตา โลกที่เคยถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่ยังหาความสงบสุขได้บ้าง
ก็กลายเป็นพื้นที่แห่งความหวาดระแวง ทุกที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพื่อนร่วมโลกที่เป็นอิสลามิกชนถูกคนบางกลุ่มมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ซึ่งนับเป็นการเหมารวมที่น่าสังเวชใจมากที่สุด
หากคุณจำสถานการณ์ในช่วงนั้นได้ดี คงระลึกได้ว่าการตรวจตราในจุดต่างๆ ทั้งก่อนเข้าอาคาร และที่สนามบินทั่วโลกต่างต้องเพิ่มความเข้มงวดอย่างมาก จนหลายคนพูดทำนองเสียดสีว่า หากแก้ผ้าตรวจระเบิดได้ ก็คงถูกจับแก้ผ้าตรวจหาระเบิดแล้ว และการนำสิ่งของต่างๆ ขึ้นเครื่องบิน หรือเข้าไปในอาคารของสนามบินก็มีกฎระเบียบและข้อห้ามมากขึ้น ทั้งๆ ที่ช่วงก่อนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมนั้น การเดินทางด้วยเครื่องบินโดยเฉพาะในสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่แสนอิสระเสรี บางคนแบกไม้เบสบอลอันมหึมาขึ้นเครื่องบินได้ แต่หลังจากเกิดเหตุแล้ว แม้กระทั่งเข็มขัดที่มีหัวเป็นโลหะก็ต้องถูกปลดออกเพื่อผ่านเครื่องเอกซเรย์ มีดช้อนส้อมที่เป็นโลหะที่ใช้เสิร์ฟบนเครื่องบิน ถูกเปลี่ยนเป็นพลาสติก การนำน้ำดื่ม หรือของเหลวใดๆ เข้าไปในเขตก่อนจะขึ้นเครื่องบิน ถูกห้ามเด็ดขาด และต้องใช้เวลาในการตรวจค้นหาระเบิดก่อนขึ้นเครื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมงจนบางคนถึงกับเลิกเดินทางด้วยเครื่องบิน หากสามารถเดินทางด้วยวิธีอื่นทดแทนได้
ส่วนการจัดการกับซากปรักหักพังของอาคารแฝด ต้องใช้เวลาจัดการยาวนานถึง 8 เดือน โดยบริเวณที่เคยเป็นตึกแฝดได้ถูกปรับเป็นพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ระยะหนึ่ง โดยมีชื่อเรียกว่า Ground Zero และต่อมาวันที่ 11 กันยายน 2011 ได้เปิด The National September 11th Memorial
ปัจจุบันบริเวณเดิมที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝด ได้ถูกก่อสร้างเป็น One World Trade Center ซึ่งบางคนเรียกว่า Freedom Tower ความสูง 574 เมตร นับว่า
ก่อสร้างสูงกว่าอาคารเดิมที่สูง 416 เมตร
หลายคนพยายามค้นหาคำตอบว่าอะไรนำไปสู่เหตุโศกนาฏกรรม 9/11 แต่คำตอบนี้ก็ยังไม่กระจ่างชัดแต่มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์สามารถตอบคำถามนี้ได้บ้างก็คือ เป็นเพราะมนุษย์ไร้มนุษยธรรม ส่วนใครเป็นต้นเหตุให้เกิดการฆ่าล้างทำลายกันอย่างน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ก็แล้วแต่ว่าจะมองจากมุมของใคร แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์ไม่มีมนุษยธรรม
โลกในยุคหลังเหตุการณ์ 9/11 เกิดการแบ่งแยกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน คือขั้วของคนดีผู้ถูกกระทำโดยไร้ความเมตตา กับขั้วของผู้ก่อการร้ายที่ถูกวิพากษ์ว่าไร้มนุษยธรรม
หลังจากนั้นจอร์จ บุช จูเนียร์ ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นออกมาประกาศว่า ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่กับเรา (หมายถึงสหรัฐฯ) หรืออยู่กับผู้ก่อการร้าย
จากนั้นปฏิบัติการกวาดล้างการก่อการร้ายก็ได้เริ่มขึ้นอย่างน่าหวาดวิตก สหรัฐฯ และพันธมิตรส่งกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานระลอกใหม่ และบุกเข้าไปในอิรัก แล้วก็เกิดปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายไปทั่วเขตที่ถูกระบุโดยสหรัฐฯ ว่าเป็นเขตซ่องสุมของขบวนการก่อการร้าย ส่วนผู้ที่ถูกกวาดล้างก็ตอบโต้ด้วยความรุนแรงเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องในที่สุดฐานที่มั่นของอัล-เคดา ในอัฟกานิสถานได้ถูกทำลายลง มีการตามล่าตัวหัวหน้าขบวนการก่อการร้ายสากลและสังหารในที่สุด
แม้มนุษย์จะผ่านโศกนาฏกรรมอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเองมาจนนับครั้งไม่ถ้วน เริ่มตั้งแต่สงครามโลกทั้งสองครั้ง จนมาถึงเหตุการณ์ 9/11 แต่ก็ดูเสมือนว่าทุกวันนี้โลกมนุษย์ก็ยังคงหามนุษยธรรมได้ไม่ง่ายนัก เพราะเรายังประสบความไร้มนุษยธรรมของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ เป็นประจำ แม้กระทั่งล่าสุดการเกิดสงครามในยูเครนโดยการบุกของรัสเซีย
มนุษย์ยังคงไม่สำเหนียกและไม่สำนึกในความโหดร้ายอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์ยังคงทำลายล้างผลาญกันเองทั้งๆ ที่แต่ละคนก็อ้างว่าต้องการความสงบสุข แต่ข้ออ้างเรื่องความสงบสุขก็ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องการใช้กำลังกระทำต่อกันอย่างรุนแรง ไร้มนุษยธรรมไปได้
เหตุการณ์ 9/11 ผ่านไป 21 ปี แต่ดูเสมือนมนุษย์จะยังไม่สำนึกในบทเรียนของความโหดร้ายที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่ไร้มนุษยธรรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี