โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เกิดขึ้นมาในยุครัฐบาล คสช.
นายกฯ ชื่อ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”
กระทั่งมีรัฐธรรมนญ 2562 มีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีนายกฯ ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงการนี้จึงได้เดินหน้าต่อ แถมขยายเพิ่มเติมอีกด้วย
โดยเป็นการให้เงินอุดหนุนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน สำหรับการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ขวบ เดือนละ 600 บาท จ่ายตรงเข้าบัญชีคุณแม่หรือผู้ปกครองเด็ก
1. บรรดาแม่ๆ สามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินได้ เพราะปฏิทินการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566) ระบุไว้ชัดเจนแน่นอน เช่น
เดือนตุลาคม 2565 วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม 2565
เดือนพฤศจิกายน 2565 วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน 2565
เดือนธันวาคม 2565 วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565
เดือนมกราคม 2566 วันอังคารที่ 10 มกราคม 2566
เดือนกุมภาพันธ์ 2566 วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
เป็นต้น
2. พิสูจน์ความจริงใจ ตั้งใจ อุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
อัปเดตสถานการณ์ของโครงการ มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบอุดหนุนเฉพาะกิจ (เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด) เพื่อเบิกจ่ายให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 2,655,272 คน สรุปได้ดังนี้
ปรากฏว่า เมื่อเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ผู้มีสิทธิตั้งแต่เดือนตุลาคม2564-สิงหาคม 2565 จำนวน 16,154,592,600 บาท ทำให้ พม. มีงบประมาณคงเหลือ จำนวน 513,140,900 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในรอบเดือนกันยายน 2565 จำนวน 2,354,558 คนจำนวนเงินเบิกจ่าย จำนวน 1,465,000,000 บาท ดังนั้น พม. (กรมกิจการเด็กและเยาวชน) จึงเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง
กระทรวง พม. โดยรัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์ ยืนยันว่า เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ มุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต การได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อยได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย ถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลส่งผ่านบิดา มารดา หรือผู้ปกครองไปยังเด็กแรกเกิด
การให้เงินอุดหนุนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน หากไม่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ครอบครัวของเด็กแรกเกิดได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามวัย
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ พม. (กรมกิจการเด็กและเยาวชน) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 933,557,100 บาท เพื่อเป็นเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ที่จะได้รับเงินต่อเนื่องในเดือนกันยายน 2565 โดยให้ดำเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส มีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน และให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) ด้วย
หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามนั้นทันที
ทั้งหมด สะท้อนถึงความตั้งใจจริง และความจริงใจ ของรัฐบาลชุดนี้
3. ประมาณการจำนวนประชากรของ สศช. ในปี 2565 พบว่า จะมีเด็กอายุ 0-6 ขวบ จำนวนทั้งสิ้น 4,183,308 คน โดยประมาณการเด็กที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาท/คน/ปี จะมีจำนวน 2,655,272 คน
หากให้เงินอุดหนุนแก่เด็กอายุ 0-6 ขวบ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในอัตรา 600 บาท/คน/เดือน จะใช้งบประมาณ จำนวน 16,659.4899 ล้านบาท และงบประมาณจะลดลงทุกปี เพราะจำนวนเด็กที่เกิดใหม่ลดลง โดยคาดว่าในปี 2568 จะใช้งบประมาณ จำนวน 12,870.6264 ล้านบาท
ถามว่า ทำโครงการนี้ ได้ประโยชน์อะไร ?
ประโยชน์ที่จะได้รับ
ด้านสาธารณสุข... ช่วยให้เด็กอายุ 0-6 ขวบ ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเป็นกำลังของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ ข้อมูลพบว่าเด็กในโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 1,863,274 คน มีข้อมูลอยู่ในคลังข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center: HDC) จำนวน 1,751,328 คน ซึ่งได้รับการประเมินพัฒนาการ จำนวน 1,377,582 คน คิดเป็นร้อยละ 78.66 ของเด็กที่มีข้อมูลอยู่ใน HDC และเด็กที่ได้รับการประเมินพัฒนาการดังกล่าวมีพัฒนาการสมวัย จำนวน 1,312,777 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 95.30 (ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2563) ทำให้เห็นว่าการได้รับเงินอุดหนุนจากโครงการฯ เป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มการเข้าถึงบริการต่างๆ ของเด็ก
ด้านเศรษฐกิจ... การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคต 7-10 เท่า ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ทักษะที่สูงขึ้น ผลการเรียนที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น การเจ็บป่วยที่ลดลง และอาชญากรรมที่ลดลง เป็นต้น
ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ... โครงการฯ ทำให้เด็กแรกเกิดสามารถเข้าถึงบริการทางสังคมได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ได้รับการพัฒนาให้เติบโตอย่างเหมาะสมตามวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจัดสวัสดิการตามภารกิจของหน่วยงานได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
นี่คือข้อมูลที่มีการรายงานในที่ประชุม ครม.สัปดาห์ที่แล้ว
แต่ถ้าคิดง่ายๆ โดยสามัญสำนึก คือ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ใครเกิดมาในครอบครัวที่มีน้อย รัฐบาลพึงช่วยเหลือให้มาก ส่วนใครเกิดในครอบครัวที่มีมากอยู่แล้ว รัฐบาลก็อาจไม่ต้องโอบอุ้ม นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี