วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เกิดขึ้นมาในยุครัฐบาล คสช.
นายกฯ ชื่อ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”
กระทั่งมีรัฐธรรมนญ 2562 มีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีนายกฯ ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงการนี้จึงได้เดินหน้าต่อ แถมขยายเพิ่มเติมอีกด้วย
โดยเป็นการให้เงินอุดหนุนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน สำหรับการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ขวบ เดือนละ 600 บาท จ่ายตรงเข้าบัญชีคุณแม่หรือผู้ปกครองเด็ก
1. บรรดาแม่ๆ สามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินได้ เพราะปฏิทินการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566) ระบุไว้ชัดเจนแน่นอน เช่น
เดือนตุลาคม 2565 วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม 2565
เดือนพฤศจิกายน 2565 วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน 2565
เดือนธันวาคม 2565 วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565
เดือนมกราคม 2566 วันอังคารที่ 10 มกราคม 2566
เดือนกุมภาพันธ์ 2566 วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566
เป็นต้น
2. พิสูจน์ความจริงใจ ตั้งใจ อุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
อัปเดตสถานการณ์ของโครงการ มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบอุดหนุนเฉพาะกิจ (เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด) เพื่อเบิกจ่ายให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 2,655,272 คน สรุปได้ดังนี้
ปรากฏว่า เมื่อเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ผู้มีสิทธิตั้งแต่เดือนตุลาคม2564-สิงหาคม 2565 จำนวน 16,154,592,600 บาท ทำให้ พม. มีงบประมาณคงเหลือ จำนวน 513,140,900 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในรอบเดือนกันยายน 2565 จำนวน 2,354,558 คนจำนวนเงินเบิกจ่าย จำนวน 1,465,000,000 บาท ดังนั้น พม. (กรมกิจการเด็กและเยาวชน) จึงเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง
กระทรวง พม. โดยรัฐมนตรีจุติ ไกรฤกษ์ ยืนยันว่า เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ มุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต การได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อยได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย ถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลส่งผ่านบิดา มารดา หรือผู้ปกครองไปยังเด็กแรกเกิด
การให้เงินอุดหนุนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน หากไม่ได้รับเงินอุดหนุนอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ครอบครัวของเด็กแรกเกิดได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามวัย
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ พม. (กรมกิจการเด็กและเยาวชน) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 933,557,100 บาท เพื่อเป็นเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ที่จะได้รับเงินต่อเนื่องในเดือนกันยายน 2565 โดยให้ดำเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส มีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน และให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) ด้วย
หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามนั้นทันที
ทั้งหมด สะท้อนถึงความตั้งใจจริง และความจริงใจ ของรัฐบาลชุดนี้
3. ประมาณการจำนวนประชากรของ สศช. ในปี 2565 พบว่า จะมีเด็กอายุ 0-6 ขวบ จำนวนทั้งสิ้น 4,183,308 คน โดยประมาณการเด็กที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาท/คน/ปี จะมีจำนวน 2,655,272 คน
หากให้เงินอุดหนุนแก่เด็กอายุ 0-6 ขวบ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในอัตรา 600 บาท/คน/เดือน จะใช้งบประมาณ จำนวน 16,659.4899 ล้านบาท และงบประมาณจะลดลงทุกปี เพราะจำนวนเด็กที่เกิดใหม่ลดลง โดยคาดว่าในปี 2568 จะใช้งบประมาณ จำนวน 12,870.6264 ล้านบาท
ถามว่า ทำโครงการนี้ ได้ประโยชน์อะไร ?
ประโยชน์ที่จะได้รับ
ด้านสาธารณสุข... ช่วยให้เด็กอายุ 0-6 ขวบ ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเป็นกำลังของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ ข้อมูลพบว่าเด็กในโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 1,863,274 คน มีข้อมูลอยู่ในคลังข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center: HDC) จำนวน 1,751,328 คน ซึ่งได้รับการประเมินพัฒนาการ จำนวน 1,377,582 คน คิดเป็นร้อยละ 78.66 ของเด็กที่มีข้อมูลอยู่ใน HDC และเด็กที่ได้รับการประเมินพัฒนาการดังกล่าวมีพัฒนาการสมวัย จำนวน 1,312,777 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 95.30 (ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2563) ทำให้เห็นว่าการได้รับเงินอุดหนุนจากโครงการฯ เป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มการเข้าถึงบริการต่างๆ ของเด็ก
ด้านเศรษฐกิจ... การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคต 7-10 เท่า ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ทักษะที่สูงขึ้น ผลการเรียนที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น การเจ็บป่วยที่ลดลง และอาชญากรรมที่ลดลง เป็นต้น
ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ... โครงการฯ ทำให้เด็กแรกเกิดสามารถเข้าถึงบริการทางสังคมได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ได้รับการพัฒนาให้เติบโตอย่างเหมาะสมตามวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจัดสวัสดิการตามภารกิจของหน่วยงานได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
นี่คือข้อมูลที่มีการรายงานในที่ประชุม ครม.สัปดาห์ที่แล้ว
แต่ถ้าคิดง่ายๆ โดยสามัญสำนึก คือ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ใครเกิดมาในครอบครัวที่มีน้อย รัฐบาลพึงช่วยเหลือให้มาก ส่วนใครเกิดในครอบครัวที่มีมากอยู่แล้ว รัฐบาลก็อาจไม่ต้องโอบอุ้ม นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม

‘เจมส์ – กาด – แฟ้ม – แมทธิว’ พร้อมส่งหัวใจเตรียมรับสัญญาณเตือน ในซีรีส์ ‘Love Alert มีคำเตือนโปรดระมัดระวัง’
จับตา! ปี 2569 ช่อง 7HD กับปรากฏการณ์ข่าวโฉมใหม่ 'มีเรื่องต้องคุย'
‘กรีน ปัฐยฬุรี’ เปิดตัวซิงเกิลพิเศษ only us mode ส่งท้ายปี
เจรจา3ฝ่ายชื่นมื่น จีนยืนยันไม่แทรกแซง ช่วยเขมร20ล้านหยวน ‘ทรัมป์’โผล่ร่วมยินดี
วาทกรรมสีส้มVSความจริงสีเทา คมมีดที่หันกลับมาฟันตัวเอง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี