พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5 ทรงเจ็บช้ำพระทัยจากการที่นักล่าอาณานิคมบังคับสยามให้ต้องยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คือเมื่อมีกรณีพิพาทระหว่างชาวสยามกับชาวต่างชาติ จะต้องขึ้นศาลโปลิศสภา และไม่ยอมรับอำนาจศาลไทย เป็นเรื่องเสื่อมศักดิ์ เสื่อมศรี เสื่อมเกียรติของชาติที่นักล่าอาณานิคมย่ำยีชาติบ้านเมืองของเราในยุคนั้น
ทรงยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อให้ยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ซึ่งเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เขาห้ามเรียนห้ามรู้กันในปัจจุบันนี้
แต่คนทรยศชาติและขายชาติจำนวนหนึ่งกลับฟื้นฟูเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตอย่างเงียบ ๆ และอย่างแยบยล สมรู้ร่วมคิดและส่งเสริมสนับสนุนให้ประเทศไทยกลับเข้าสู่อาณัติของนักล่าอาณานิคม โดยยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแบบใหม่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งจำแลงแปลงรูปมาในรูปของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
และนับวันเรื่องนี้ก็ค่อย ๆ ขยายตัวไปในแทบทุกส่วนราชการ มีการทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำความตกลงกันในสองลักษณะ
ลักษณะแรก ตกลงกันว่าในกรณีมีข้อพิพาทตามข้อตกลงนั้น ให้นำคดีไปดำเนินการที่ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และจะไม่นำคดีขึ้นสู่ศาลไทย ซึ่งเป็นการตัดเขตอำนาจศาลไทย และยอมรับอยู่ใต้อาณัติของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศซึ่งตั้งอยู่ในต่างประเทศ และมีตุลาการเป็นชาวต่างชาติ
ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าที่มาของอนุญาโตตุลาการเหล่านั้นเป็นเรื่องของระบบข่มเหงเอาเปรียบของพวกนักล่าอาณานิคม ถือได้ว่าเป็นแค่ศาลการเมืองที่มีจุดยืนอยู่กับผลประโยชน์ของต่างชาติและเอื้ออำนวยผลประโยชน์ของต่างชาติ ดังนั้นประเทศใดที่ไม่อยู่ในกลุ่มของนักล่าอาณานิคม หากมีคดีขึ้นศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแล้วก็มีแต่ต้องพ่ายแพ้ยับเยินทุกรายไป
หรือแม้จะมีการตกลงกันในทางอื่นก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายนอกระบบเป็นจำนวนมาก
แม้แค่ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ในการจ้างทนาย และในการต่อสู้คดีก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ทำให้หน่วยงานของรัฐหรือส่วนราชการที่อยู่ใต้อาณัติสัญญาแบบนี้ต้องเสียหายเป็นอันมาก
ลักษณะที่สอง มีการทำข้อตกลงว่าถ้ามีข้อพิพาทก็ให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้พิจารณาตัดสิน โดยแต่ละฝ่ายจะตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายละ 1 คน และอนุญาโตตุลาการของทั้งสองฝ่ายก็จะตกลงตั้งคนกลางอีกคนหนึ่ง ทำให้เป็นคณะอนุญาโตตุลาการที่มีจำนวน 3 คน มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีนั้นโดยเสียงข้างมาก
และต้องทำความเข้าใจว่าอนุญาโตตุลาการของฝ่ายรัฐนั้นโดยทั่วไปจะแต่งตั้งมาจากข้อเสนอของกรรมการกฤษฎีกา หรือไม่ก็เป็นกรรมการกฤษฎีกาเสียเอง ซึ่งไม่เป็นวิสัยที่อนุญาโตตุลาการฝ่ายของรัฐจะไปล็อบบี้หรือแสวงหาการสนับสนุนจากอีกฝ่ายหนึ่งให้ตั้งอนุญาโตตุลาการคนที่สามจากผู้ที่เป็นกลาง และส่วนใหญ่ก็มักจะเออออห่อหมกไปกับอนุญาโตตุลาการอีกฝ่ายหนึ่ง
จึงทำให้อนุญาโตตุลาการคนที่สามที่แม้ได้ชื่อว่าเป็นคนกลาง แต่แท้จริงก็คือคนที่เอกชนหรือต่างชาติเป็นผู้มีบทบาทชี้นำอยู่ข้างหลัง
ดังนั้นโดยทั่วไปคณะอนุญาโตตุลาการจึงมักจะตัดสินหรือชี้ขาดให้ทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐเป็นฝ่ายแพ้คดี
และเมื่อแพ้คดีแล้ว แม้ระบบอนุญาโตตุลาการแบบนี้จะสามารถฟ้องต่อศาลได้ แต่ก็มีข้อจำกัดให้ฟ้องคดีได้เฉพาะกรณีที่มีพยานหลักฐานว่าคณะอนุญาโตตุลาการกระทำการโดยทุจริต หรือพูดง่าย ๆ ก็คือกินสินบาทคาดสินบนนั่นเอง ซึ่งยากที่จะพิสูจน์ได้ ดังนั้นแม้กฎหมายจะอนุญาตให้ฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่มีพยานหลักฐานที่จะหักล้างหรือเพิกถอนคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการได้
ยกตัวอย่างกรณีคดีเหมืองทองที่ต้องไปขึ้นศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ กรณีเรื่องนี้แผ่นดินก็เป็นของประเทศไทย ทองคำก็เป็นทองคำเป็นทรัพย์สมบัติของชาติไทยและประชาชนไทย ต่างชาติได้สัมปทานขุดเอาทองไปเป็นสมบัติตนและจ่ายค่าสัมปทานให้แก่รัฐบาลเพียงน้อยนิด แต่กลับมีข้อตกลงว่าถ้ามีกรณีพิพาทต้องไปดำเนินคดีกันที่ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
ดังนั้นอนาคตและผลของคดีนี้จะเป็นอย่างไรก็รู้ ๆ กันอยู่ ไม่ต้องอื่นไกล แค่ค่าใช้จ่ายในการไปต่อสู้คดีก็ต้องสูญเสียเงินงบประมาณจากภาษีของประชาชนนับร้อยล้านบาท
นี่คือความเสียหาย ความอัปยศ ของการกระทำในลักษณะที่ยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในยุคใหม่ ซึ่งมีแต่ความเสียหายแก่ประเทศไทยและชาติไทยสถานเดียวเท่านั้น ดังนั้นใครเป็นผู้ก่อกรรมทำเข็ญ ยอมอยู่ในอาณัติของสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแผนใหม่ ก็ต้องถูกถือว่าเป็นคนทรยศต่อชาติ เป็นผู้ขายชาติ และต้องถือว่านี่คือศัตรูของชาติที่แอบแฝงอยู่ในวงแห่งอำนาจ
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกก็เพราะมีไส้ศึกและคนขายชาติฉันใด พระราชอาณาจักรไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของชาวไทยก็ได้รับความเสียหาย ถูกปล้นสะดมจากนักล่าอาณานิคม จากการสมรู้ร่วมคิดของคนขายชาติหรือทรยศชาติฉันนั้น
ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายของชาติและประชาชน จึงจำเป็นต้องป้องกันและแก้ไขปัญหานี้โดยเร่งด่วนที่สุดในประการดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องสำรวจตรวจสอบข้อตกลงระหว่างรัฐกับเอกชนทั้งหมดว่ามีรายใดที่ทำข้อตกลงในลักษณะดังพรรณนามาข้างต้น และให้ผู้บริหารหน่วยงานนั้นเจรจาแก้ไขข้อตกลง ยกเลิกเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยกเลิกบรรดาข้อตกลงทั้งหลายที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลไทย ให้กรณีทั้งหลายที่อาจมีข้อพิพาทกันต้องอยู่ในอำนาจศาลไทยโดยสมบูรณ์
และต้องตรวจสอบด้วยว่าใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรือสมยอมหรือเห็นชอบให้มีการทำข้อตกลงในลักษณะนั้น และต้องพิจารณาไต่สวนว่าเป็นการกระทำโดยชอบที่รักษาผลประโยชน์แห่งชาติตามอำนาจหน้าที่หรือไม่ หรือมีการทุจริตหรือใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบหรือไม่เพื่อดำเนินคดีเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลายสืบไป
ประการที่สอง ต้องออกกฎหรือระเบียบหรือแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง ห้ามมิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจใด ๆ ทำข้อตกลงยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
ประการที่สาม แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการในประเทศ ให้มีบทยกเว้นสำหรับกรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐทำข้อตกลงให้มีอนุญาโตตุลาการ จะต้องมีระบบการตรวจสอบคุณสมบัติอนุญาโตตุลาการฝ่ายของรัฐ และการตรวจสอบการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการคนที่สาม โดยต้องมีข้อกำหนดด้วยว่าโดยทั่วไปห้ามไม่ให้ทำความตกลงตั้งอนุญาโตตุลาการ เพราะในความเป็นจริงนั้นส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีแต่เสียเปรียบ เพราะมีเรื่องใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่อาศัยกลไกอนุญาโตตุลาการทำให้เกิดเรื่องโง่และต้องเสียค่าโง่
และเรื่องราวเหล่านี้จะเดินหน้าไปได้อย่างสมบูรณ์ก็จำเป็นอยู่ดีที่ต้องรื้อระบบการผูกขาดอำนาจ โดยเฉพาะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะต้องมีระบบในการสรรหา ในการคัดเลือก ในการกำหนดคุณสมบัติ ในการกำหนดอายุและในการกำหนดเวลาการดำรงตำแหน่งไม่ให้งอกรากหรือไม่ให้มีการผูกขาดอำนาจเหมือนกับที่ผ่านมา
เช่น ต้องกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการกฤษฎีกาว่าจะดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ และจะต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบ 75 ปี เพราะแม้ว่าผู้มีอายุเกิน 75 ปีบางคนอาจมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ใครเล่าจะประกันได้ว่าทั้งร่างกายและจิตใจยังมีความสมบูรณ์เป็นปกติ
ไม่เห็นหรือว่าในคดีวาระ 8 ปีนายกรัฐมนตรีนั้น คนอายุ 80 กว่าปีได้ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร ดำรงความสุจริต ความซื่อสัตย์ ความเที่ยงตรงและความมีคุณธรรมอย่างไร
เพราะผู้เป็นกรรมการกฤษฎีกานั้นจะต้องไม่เป็นคนจำพวกขี้ฉ้อตอแหลกลับกลอก หรือเป็นกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มผูกขาดอำนาจหรือผู้ขายตัวให้แก่อำนาจโดยเด็ดขาด ทั้งต้องเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย ซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี