l สังคมไทยไปได้แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงไปทั้งหมู่....แต่บินไม่ได้สูงและไกลนักคือ ไปได้กลางๆ ไม่สูงถึงระดับเหนือฟ้า แต่ก็ไม่ต่ำเรี่ยราด คือ อยู่ได้กลางๆ
ด้านหนึ่ง เพราะปัจจัย สภาพสังคมแผ่นดินภูมิประเทศ ทำเลที่ตั้ง สถาบันหลักสังคม ฯลฯ เอื้ออำนวย
แต่อีกด้านหนึ่ง คุณภาพผู้นำและประชาชน ยังไปไม่ถึงระดับ และ โครงสร้างระบบสังคมเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมเป็นอุปสรรคของการพัฒนาและยกระดับ สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศรวมทั้ง ระดับทางทฤษฎีและวิชาการ ของผู้นำ นักคิด นักวิชาการ :ยังคงไปได้ข้างๆ คูๆ
l การที่จะทำ หรือ พัฒนาประเทศและประชาชน ให้เจริญก้าวหน้า มีคุณภาพ
จำเป็นที่ผู้นำและประชาชน ต้อง ได้มา ซึ่ง “ความจริงของสังคมไทย”และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นมา ถูกต้องครบถ้วน หรือ มากกว่านี้พอควร เพื่อที่ จะได้รู้ “ความจริง” ที่ซ่อนอยู่ใต้เตียง และหลบซ่อนอยู่ใต้ใจ ที่ขาดความกล้าที่จักแสวงหาความจริงจะรู้ถึง “ข้อดี ข้ออ่อน ปัญหา อุปสรรค และ ปัจจัย ที่เป็นทั้งด้านบวกและลบฯ” เพื่อเป็นเข็มทิศ ชี้ทางออก ที่ถูกต้อง ให้สังคม
ผู้นำและเราต่างเดินหลงทาง เพราะ เลือกเดินทางที่ง่าย สบาย ที่เลี้ยวลดคดโค้ง ไม่สามารถพาไปถึงจุดหมายปลายทางได้ขาดการเอาจริง มุ่งมั่นแน่วแน่ ขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างมีความเพียร วิริยะอุตสาหะ ต่อเนื่อง ขาดความรู้ ความกล้าหาญ เสียสละ เพื่อ อนาคตที่สุกใส ของประชาชน ประเทศ และลูกหลานในอนาคตและประชาชนส่วนใหญ่ ขาดคุณภาพ ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง และกลุ่มทุนสามานย์ ฯ
กล่าวเฉพาะ “เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของชาติ ที่สำคัญ” เช่น ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ฯลฯนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ ผู้นำนักเคลื่อนไหว ที่มีบทบาทในสังคม ต่างพูดสรุปไปคนละทิศคนละทาง ตามจุดที่ตนอยู่ เห็น และตามความคิดความเชื่อของตนบางส่วนเน้นบทบาทของตน บรรพบุรุษ ลูกหลานและความเป็นพวกเดียวสีเดียวมากกว่า เน้นภาพรวมของสังคม ที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์มีคุณค่าต่อส่วนรวม
แน่นอน “มันโครตยาก” ที่จะเริ่มต้นแสวงหาความจริง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มันคงผ่านไปแล้ว แต่ควรจะให้บทเรียนแก่เรา
แต่ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เรายังมีโอกาส เพราะ“ผู้นำ ผู้คน ที่มีบทบาท และอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ยังคงอยู่ไม่น้อย”
ประเด็นสำคัญ คือ “เราเห็นความสำคัญและจำเป็นของเรื่องการแสวงหาความจริง ให้มากที่สุด” หรือไม่คนบางส่วน บอกว่า“ไม่อยากไปรื้อฟื้น” เดี่ยวขัดแย้งกันเปล่าๆ และก็ยากที่จะทำได้ แต่มีอีกบางส่วน เห็น “แสงสว่างปลายอุโมงค์” และอยากจะลงแรงลงคิดลงมือ“การเริ่มคิดที่ถูก แม้ยังมิได้ลงมือทำ” ย่อมเป็นเรื่องที่งดงามของชีวิต และสังคม
ขอเชิญชวน มาร่วมกันคิดและทำ
เรามิได้เริ่มต้นจากศูนย์ เรามีต้นทุนกันอยู่ไม่น้อย เราจะเรียงร้อยเข้าหากัน เราจะร้อย และปักผืนผ้าประเทศไทย ด้วยเข็ม และเส้นด้าย ที่หลากหลาย หวังให้ได้ “ผืนผ้าที่งดงาม แห่งประวัติศาสตร์” ได้อย่างไร?
...............................
เรามาฟัง “แนวคิดบางส่วน” ของผู้นำปัญญาและสังคมไทย บางตน
๑.วิธีแก้ไม่ยาก ถ้ามีปัญญารู้ความจริงของแผ่นดินไทย แต่การศึกษาที่เอาวิชาเป็นตัวตั้ง ทำให้คนไทยไม่รู้ความจริงของแผ่นดินไทยเมื่อไม่รู้ความจริงก็ทำให้ถูกต้องไม่ได้ จึงแก้ปัญหาต่างๆ ไม่สำเร็จ
ศ.นายแพทย์ ประเวศ วะสี
๒.อาจารย์ ธีรยุทธ บุญมี
เสนอบางประเด็น สั้นๆ เกี่ยวกับ “การจัดงาน ๕๐ ปี(กึ่งศตวรรษ) ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖”
หากเรายังคิดแบบเก่า จัดงานแบบเดิมๆ ก็คงไม่สามารถยกระดับหรือเปลี่ยนแปลง การรับรู้และความเข้าใจ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยไทยได้ เราต้องคิดใหม่ คิดใหญ่ กรอบใหม่ โดยต้องระดมคนกล้า เสียสละฯ มาช่วยกันคิด
๓.วิทยากร เชียงกูล : เขียนถึง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ได้อย่างน่าสนใจ แต่การที่ขบวนการ 14 ตุลาคม ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้มากหรือยาวนานกว่านี้ ก็เพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือขีดความสามารถของขบวนการ 14 ตุลาคมในขณะนั้น
เราต้องยอมรับข้อจำกัดของปัจจัยต่างๆ ที่โครงสร้างการเมืองสังคมไทยถูกผูกขาดอำนาจโดยชนชั้นสูง ขณะเดียวก็ควรยอมรับประเด็นที่ว่าขบวนการนักศึกษาประชาชน 14 ตุลา มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมในยุคนั้นให้เป็นประชาธิปไตยในเชิงเปรียบเทียบได้ในระดับหนึ่ง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
-เพราะสภาพเศรษฐกิจการเมืองสังคมยุคนั้นเอื้ออำนวย และ
-เพราะมีกลุ่มคนที่กล้าประท้วงโดยสันติวิธี
-เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จบลงในวันที่ 15 ตุลาคม ด้วยการที่กลุ่มการเมืองอื่นผลักดันให้จอมพลถนอม จอมพลประภาส และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ลาออกและบินไปอยู่ต่างประเทศ
๔. ฯลฯ
l การจัดงานรำลึกประวัติศาสตร์ ประชาธิปไตย ประจำปี เป็นเรื่องงดงาม มีคุณค่าและความหมาย
ผมให้ความสำคัญ และได้ไปร่วมงาน ที่สำคัญมาตลอด จะขอกล่าวโดยย่อ ถึง “กิจกรรมของงานวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ฯ” ของบางเหตุการณ์ เช่น
-วันที่ ๒๔ มิถุนายน ของทุกปี ที่วัดศรีมหาธาตุ บางเขนฯ
ลูกหลานของคณะราษฎร และผู้รักชาติรักประชาธิปไตย และผู้เคารพประวัติศาสตร์ จะไปร่วมงานกัน ในช่วงกลางๆ ยังมีบุคคลสำคัญที่ร่วมการเปลี่ยนแปลงฯ ไปร่วมด้วย และร่วมสิบปีมาแล้ว เหลือแต่ลูกหลาน และ ฯลฯ ไปร่วมงาน งานก็จะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้กับ “ผู้ที่มีคุณูปการต่อบ้านเมือง” มีการร่วมบริจาค เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงาน ปีต่อๆ ไป
-๑๔ ตุลาคม (๒๕๑๖) ของทุกปี
มูลนิธิ ๑๔ ตุลา จะเป็นเจ้าภาพ ร่วมกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐกทม. และภาคประชาสังคมโดยมีลูกหลานและญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ ในนาม “ญาติวีรชน ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖” ร่วมด้วย
มีพิธีทางศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลามฯ มีการวางหรีด ของผู้แทนภาคต่างๆ มีการกล่าว ความรู้สึกและคำไว้อาลัย ถึงเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และผู้จากไปมีประชาชน ที่ยังคงรำลึกถึงความสำคัญของเหตุการณ์ มาร่วมด้วย
ในภาคบ่ายในห้องประชุมของมูลนิธิ ๑๔ ตุลาคม มีการจัด “ปาฐถา ๑๔ ตุลา” ประจำปีและทางมูลนิธิ ๑๔ ตุลา มีกิจกรรมประจำปี
โดยแต่ละปี “คณะกรรมการฯ” จะจัดงานผ้าป่า และกิจกรรม เพื่อหารายได้มาใช้จ่ายฯ ภาครัฐ และท้องถิ่น กทม. ก็มิได้ ร่วมสนับสนุน หรือ มอบเงินเป็นก้อน ในการดำรงอยู่ของ “มูลนิธิ ๑๔ ตุลา” เหมือนกับที่ต่างประเทศเขามีการทำ เพราะพวกเขา มิได้ตระหนักถึงคุณค่าความหมาย ถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย :ที่ทำให้สังคมไทย และพวกเขา มีวันนี้ เพราะเป็นการรำลึกและตอบแทนคุณที่เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มีส่วนสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาและการสนใจเข้าร่วมของประชาชนและเยาวชนของชาติและนำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่สำคัญยิ่งนี้ ก่อให้เกิด “คุณค่า ความหมาย ต่อการพัฒนาคุณภาพ ความรับรู้ ความคิดฯ” ทั้งต่อส่วนตน องค์กร และประเทศชาติบ้านเมือง ได้อย่างไร
ซึ่งคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณากันอย่างจริงจัง ว่า : เป็นเพราะอะไร ทำไม ทั้งในส่วนของ “กิจกรรมที่พวกเราได้ทำไป” ทั้งปัจจัยและเงื่อนไขของสังคม ที่เอื้ออำนวย และไม่เอื้ออำนวย จึงจะถือได้ว่า “เป็นการสานต่อเจตนารมณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง
ดูตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ การเคลื่อนไหวต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยของเขา ยัง ยกย่องเชิดชู เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ของไทย แต่พวกเขา มีการสรุปบทเรียน แสวงหาความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเมื่อได้แล้วรู้แล้ว พวกเขาจึงแก้ไขปัญหา และเดินได้ถูกต้อง ถูกทางทำให้พวกเขา มีเกาหลีในวันนี้
วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
โดยใน ปี ๒๕๔๖ ทางรัฐสภา สส. และ สว. ลงมติ ให้ “วันที่ ๑๔ ตุลาคม เป็นวันประชาธิปไตย” เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของวีรชนที่หลั่งเลือดพลีชีพและยกย่องเชิดชูจิตใจของมวลประชาชนทั้งแผ่นดิน เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขซึ่งถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น การเมืองภาคประชาชน ที่มีผลต่อการพัฒนาการเมืองจนมีระบบรัฐสภาต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันได้มีการก่อสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาขึ้น
เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวบริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 28 ปี พร้อมทั้งก่อตั้งมูลนิธิ 14 ตุลา ขึ้นด้วย
- ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ในอีกด้านหนึ่งที่ขบวนการของฝ่ายขวาจัด ได้สร้างเงื่อนไข ในการกำจัดและลดบทบาทของนักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มีการดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการ ต่อ ผู้นำนักศึกษา กรรมกร ชาวไร่ชาวนา ประชาชน และนักการเมืองฝ่ายสังคมนิยมฯ มาอย่างต่อเนื่องฯ และในที่สุด ได้ก่ออาชญากรรม ในการล้อมปราบ เข่นฆ่าทารุณ นักศึกษาประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในการจัดงานรำลึก ในช่วงแรกๆ ก็ดำเนินการได้ด้วยดี ตามประเพณีวัฒนธรรมไทย
มีการจัดงานรำลึก มีพิธีการทางศาสนา มีการเชิญตัวแทนนักศึกษาและประชาชนวงการต่างๆ มาร่วมฯ โดยใช้สถานที่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แต่ในบางช่วง ที่มีผู้นำฯบางส่วน แปร งานรำลึกถึงผู้จากไป : เป็นการนำการเมือง ความคิดของตนเข้ามาครอบงาน ทำให้มีความขัดแย้งและการร่วมมือของผู้คนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ฯ และมีผลทำให้ ผู้ที่เข้ามาร่วมงานรำลึกฯ ลดน้อยถอยลง
เพราะการจัดงานรำลึกถึง วันสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
การจัดงาน ควรเน้น งานด้านพิธีกรรมทางศาสนา การรำลึกถึงผู้เสียสละที่ได้จากไปส่วนเรื่องความคิดทางบการเมืองของบุคคล หรือกลุ่มที่มีกรอบความคิดความเชื่อของตนควรแยกออกไปทำเอง ตามสิทธิเสรีภาพของตนและพวกพ้อง และสิ่งสำคัญ ที่สังคมไทย ขาดไป คือ “การศึกษา แสวงหาความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” เพื่อเป็นการสรุปบทเรียน ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
จัดงานกันที่ บริเวณกองสลากกินแบ่งเก่า ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการก่อสร้าง สถานอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ขี้น การจัดงาน ในช่วงต้นๆ จัดได้ดีถูกต้อง ตามประเพณีแต่มีปัญหาบางประการที่“ผู้นำบางคน” นำเหตุการณ์สำคัญนี้ ไปรับใช้การเมือง ตามความคิดของตนก็ทำให้ เกิดความด่างพร้อยและเสียหาย ต่อ ความรู้สึกของผู้เข้าร่วมชุมนุมในเหตุการณ์ครั้งนั้นที่มีคนหลากหลาย ทางความคิด และสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้การสนับสนุนจาก ภาคประชาชนและภาครัฐลดน้อยลงสมควร ที่คณะกรรมการผู้จัดงานและเกี่ยวข้อง ควรจะต้องพิจารณาถึงภาระหน้าที่และบทบาทที่ถูกต้องดีงาม ที่ควรจะเป็นไป
- ฯลฯ
นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย
เราควรจะต้องตระหนัก และคิดให้รอบคอบ ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ คุณค่าและความหมายต่อ “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น”และควรจะต้องพิจารณาทบทวน ในบทบาทหน้าที่ของตนและของปวงชนชาวไทยในการจัดงานสำคัญของประเทศชาติ อย่างที่ควรจะเป็นไปตามอารยประเทศที่เขาทำกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี