นี่ก็ใกล้จะถึงวันปิยมหาราช
คงจำกันได้ว่า ปีก่อนโน้น องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ) เคยกระทำการย่ำยีอัปรีย์จัญไรไว้อย่างไร
มาปีนี้ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม วันคล้ายวันสรรคต ในหลวง ร.9 ก็ได้กระทำการอีกครั้งหนึ่ง
1. ก่อนหน้านี้ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุว่า ที่อบจ หรือองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ลงใน face book ใน page ของ อบจ เองในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่เป็นแค่การเห็นต่างแต่เป็นการหมิ่นแคลน เย้ยหยัน เหยียบย่ำพระเกียรติขององค์พระมหากษัตริย์ที่คนไทยให้ความเคารพเทิดทูนมากที่สุดพระองค์หนึ่งในราชวงศ์จักรี
“...กระทำสิ่งที่ตัวเองสะใจโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นการกระทำที่ต่ำช้าจนถึงที่สุด
จงใจไม่โพสต์พระบรมฉายาลักษณ์และข้อความสดุดีพระองค์ยังไม่เป็นไร แต่นี่โพสต์ภาพโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง background ของภาพจงใจทำให้ดูเหมือนเป็น background ของพระบรมฉายาลักษณ์ แต่งกลอนอวยพร
นายหว่อง ข้อความในบทกลอนยังไปแช่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้มอดม้วยเป็นผุยผง โดยแทนที่จะใช้ชื่อ สี จิ้นผิง ก็เลี่ยงไปใช้คำว่า “หมีพูห์” ลงท้ายบทกลอนด้วยข้อความว่า “ทรงพระเจริญ” ใต้ภาพมีข้อความว่า “ฮ่องกงเป็นประเทศ”
นี่ไม่ใช่เป็นเสรีภาพที่ทำได้อย่างที่อ้างกัน การใช้เสรีภาพต้องไม่เป็นการไปละเมิดเหยียบย่ำผู้อื่น กรณีนี้จัดได้ว่าอาจเป็นการกระทำที่เป็นความผิด 2 ประการ
ที่แน่ๆ คือเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้งอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
อีกประการคือ เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สาปแช่งประมุขของจีน อันเป็นการกระทบความมั่นคงของประเทศไทย
สโมสรนิสิตจุฬาฯในสมัยอ.ธีรยุทธ บุญมี เขามีแต่รณรงค์ให้สหรัฐอเมริกาถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย รณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น แต่อบจ ในยุคนี้กลับไม่แตะต้องสหรัฐอเมริกา แต่เป็นปฏิปักษ์กับจีน
ท่านผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านต้องรู้สึกเดือดร้อนและอับอายที่องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้ง
ไปกระทำการเช่นนี้ และคงไม่อาจนิ่งเฉยแล้วปล่อยผ่านไป คงต้องลงมาจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับนายก และกรรมการ องค์การบริหารสโมสรนิสิต เพราะเชื่อว่าท่านผู้บริหารคงไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำอันน่าอับอายสำหรับชาวจุฬาครั้งนี้
เชื่อว่านิสิตเก่าของจุฬาที่มีเป็นแสนเป็นล้าน กำลังเฝ้าติดตามอยู่ว่ามหาวิทยาลัยจะมีการดำเนินการอย่างไร”
2. น่าสังเกตว่า ยุคนี้ มีคนบางกลุ่มพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจุฬาฯ และพระมหากษัตริย์
ต้องการแก้เกี้ยว ลดทอนคุณค่า บิดเบือนทำนองว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้มีพระมหากรุณาธิคุณต่อจุฬาฯ
เรื่องนี้ เพจ ฤๅ - Lue History ได้เคยนำเสนอตีแผ่ความจริง ว่าด้วยเรื่อง“ชำระประวัติศาสตร์ ใครคือผู้มอบที่ดินให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เนื้อความระบุชัดเจนว่า
“จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีกำเนิดมาจาก “สำนักฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ในปี พ.ศ. 2442 มีที่ตั้ง ณ ข้างประตูวิเศษไชยศรี ในพระบรมมหาราชวังชั้นนอก ต่อมาภายหลังวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปบ้านเมือง และทรงมีพระราชดำริว่าข้าหลวงมหาดไทย เทศาภิบาลมณฑลต่างๆ ควรได้รับการศึกษาด้านรัฏฐประศาสนศาสตร์อันเป็นวิชาสมัยใหม่ เพื่อให้คุ้นเคยกับการบริหาราชการแผ่นดิน ก่อนส่งออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อ สำนักฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน เป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” ในปี พ.ศ. 2445
การเปลี่ยนแปลงสำคัญประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงของการปฏิรูปประเทศคือ การแยกทรัพย์สินของแผ่นดินออกจากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยทรัพย์สินของแผ่นดินจะอยู่ภายใต้การดูแลจัดการของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (หรือกระทรวงการคลังในปัจจุบัน) และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้การดูแลของพระคลังข้างที่ (หรือสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน) สังกัดกระทรวงวัง
ซึ่งในทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นั้น มีที่ดินแปลงสำคัญอยู่แปลงหนึ่ง คือที่ดิน “วังกลางทุ่ง” หรือ “พระตำหนักวินเซอร์” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 สร้างพระราชทานแก่สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร แต่ยังไม่ทันได้เสด็จไปประทับก็ทิวงคตเสียก่อน พระตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณปทุมวัน ซึ่งต่อมาได้ถูกทุบทำลายเพื่อสร้างสนามศุภชลาศัยในปัจจุบัน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 และพระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” และยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อที่จะยกระดับขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยในโอกาสต่อไป โดยให้ใช้พระตำหนักวินเซอร์เป็นสถานที่เรียน ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นที่ดินที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทานเป็นพระราชมรดกในรูปแบบการจัดตั้งกองทรัพย์สินเพื่อเป็นดอกผลให้แก่พระราชโอรส หรือที่เรียกว่าเงินเลี้ยงชีพบาทบริจาริกา และไม่สามารถขายหรือโอนที่ดินผืนนี้ให้ใครได้ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้ “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ต้องทำสัญญาเช่าที่ดินกับพระคลังข้างที่ โดยกระทำในนามพระปรมาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 6 ในฐานะที่ทรงถือครองที่ดิน
ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพให้ทรงดำรงตำแหน่งนายกสภาจัดการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ โดยตำแหน่งนายกสภาจัดการนี้เทียบเท่ากับนายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งทางสภามหาวิทยาลัยได้ประชุมลงมติกันว่า จะหาสถานที่สร้างโรงเรียนขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นที่ฝึกสอนวิชาทุกแผนกรวมกัน ซึ่งก็คือที่ดินบริเวณปทุมวันนั่นเอง โดยเงินที่ใช้ก่อสร้างโรงเรียนมาจากเงินที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้าจำนวน 982,672.47 บาท ซึ่งมาจากการร่วมมือร่วมใจของราษฎรถวายเงินดังกล่าวเมื่อคราวในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จนิวัติพระนครหลังจากการเสด็จประพาสทวีปยุโรป
ต่อมาเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้เสด็จฯ มาวางศิลาพระฤกษ์ ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์หรืออาคารอักษรศาสตร์ 1 เดิม และมีประกาศพระบรมราชโองการให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่ไว้เป็นเขตโรงเรียน ทิศเหนือจดถนนสระประทุม ทิศใต้จดถนนหัวลำโพง ทิศตะวันออกจดถนนสนามม้า ทิศตะวันตกจดคลองสวนหลวง สิริรวมเนื้อที่ 1,309 ไร่
ในการก่อพระฤกษ์โรงเรียน ได้มีการบรรจุรายการแบบรูปโรงเรียนหลังที่ก่อสร้าง และแผนที่อาณาเขตของโรงเรียน รวมถึงแบบรูปโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อันเป็นสถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้เคียงเอาไว้ด้วย
การที่พระองค์ทรงให้พระคลังข้างที่กำหนดเขตโรงเรียนและบรรจุแผนที่โรงเรียนไว้ในการก่อศิลาพระฤกษ์นั้น เป็นการแสดงพระราชเจตนารมณ์ที่จะพระราชทานที่ดินนี้ ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในภายภาคหน้าเอาไว้อย่างชัดเจน
ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะรับราชการเท่านั้น แต่จะรับผู้ที่จะศึกษาวิชาขั้นสูงให้เข้าเรียนได้ทั่วถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 อันเป็นวันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน
หลังจากสัญญาเช่าที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ระยะเวลาสิ้นสุด 10 ปี) ได้จบลงในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2465 ทางจุฬาฯ ได้ทำสัญญาเช่าต่อเป็นปีๆ ตามกฎหมาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 7 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขอทำสัญญาเช่ากับพระคลังข้างที่อีกเป็นระยะเวลา 30 ปี ทางพระคลังข้างที่ก็ไม่ขัดข้องและให้แบ่งรายได้ค่าเช่าดังกล่าวให้พระคลังข้างที่โดยถวายค่าเช่าร้อยละ 20 หรือไม่น้อยกว่าค่าเช่าเดิมปีละ 14,400 บาท แล้วแต่ว่ามูลค่าใดจะมากกว่า
เมื่อเข้าสู่สมัยของรัชกาลที่ 8 ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 จอมพล ป. ได้เสนอให้ทบทวนสัญญาเช่าที่ดินระหว่างพระคลังข้างที่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางจุฬาฯ จึงได้ทำหนังสือถึงประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อขอรับพระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนดังกล่าว ทั้งขอยกเลิกสัญญาเช่า และขอไม่ชำระหนี้ค้างค่าเช่าที่มีกับพระคลังข้างที่ 7,200 บาท โดยให้เหตุผลว่าเป็นที่ดินพระราชทานมาตั้งแต่ต้นแล้ว ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้มีมติส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาหารือข้อกฎหมายกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าจะสามารถพระราชทานที่ดินให้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้หรือไม่
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงให้ที่ดินแปลงนี้เป็นเงินบัญชีเลี้ยงชีพของข้าบาทบริจาริกา จนกว่าจะหมดตัวผู้รับสืบทอด เป็นพระบรมราชโองการซึ่งมีฐานะเป็นกฎหมาย หากจะแก้ไขต้องมีการออกเป็นพระราชบัญญัติ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านการแปรญัตติ และพิจารณาเห็นชอบประกาศในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2482
จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ผู้ที่พระราชทานที่ดินให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ใช่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตามที่มีผู้พยายามบิดเบือนข้อมูลแต่อย่างใด ซึ่งถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว จอมพล ป. เป็นเพียงผู้ขอพระราชทานที่ดินเท่านั้น และที่ดินผืนนี้ก็ได้รับการจัดสรรเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาของประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด ดังพระราชปณิธานของในหลวงทุกพระองค์นั่นเอง”
จุฬาฯ อย่าเนรคุณสถาบันกษัตริย์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี