1.ดาวเทียม (Satellite) ซึ่งถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก โดยมีอยู่หลายโครงข่าย เช่น “NAVSTAR” ของสหรัฐอเมริกา, “GLONASS” ของรัสเซีย และ “GALILEO” ของสหภาพยุโรป (EU) 2.สถานีภาคพื้นดิน (Control) ทำหน้าที่ตรวจสอบการโคจรของดาวเทียมในโครงข่ายว่าเป็นไปตามปกติหรือไม่ และ 3.ตัวรับสัญญาณ (Receiver) ซึ่งก็คืออุปกรณ์ GPS ที่แต่ละคนใช้กัน มีทั้งที่ผลิตมาเป็นเครื่องรับโดยเฉพาะ และที่ติดตั้งในโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ทำหน้าที่รับ-ส่งคลื่นวิทยุกับดาวเทียมดวงที่อยู่ใกล้ที่สุด
“มันส่งคลื่นวิทยุไปแล้วก็เช็คว่าใช้เวลาเท่าไรที่คลื่นวิทยุส่งไป มันก็จะวัดระยะตัวมันเองกับดาวเทียมทั้งหลาย ก็เหมือนกับว่าตัวมันห่างจากดาวเทียมหมายเลขนี้เท่านี้ หมายเลขนั้นเท่านั้น ทีนี้มันก็เหมือนกับว่าเราขีดวงกลม ผมอยู่ห่างจากจุดนี้เท่านี้ มันก็ขีดวงกลมจากจุดนี้มันเป็นศูนย์กลาง ผมก็ขีดวงกลมมา ทีนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ตรงไหนในเส้นรอบวง ทีนี้มันก็ไปถามอีกจุดหนึ่ง อ๋อ!..เราอยู่ห่างจากจุดนี้เท่านั้นเท่านี้ ก็ขีดอีกวงกลมหนึ่ง
ฉะนั้น 2 วงก็จะตัดกัน เกิดเป็นพื้นที่พอสมควร
แต่จริงๆ จุดตัดมันมี 2 จุด แต่มันก็มีพื้นที่เทาๆ ของมัน ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันอยู่ตรงไหน มันก็ต้องมาอาศัยดาวเทียมดวงที่ 3 ว่าตกลงผมอยู่ห่างดวงที่ 3 เท่าไร พอ 3 จุดมันก็จะชัดเจนมากขึ้นว่าอยู่ตรงนี้แหละ บวก-ลบ รู้สึกปัจจุบันจะประมาณไม่ถึง 10 เมตรดี จริงๆ มันแล้วแต่ที่ไหนจะปล่อยให้ Accuracy (ความถูกต้อง) มากขนาดไหน แต่โดยมากตอนนี้จะมีดวงที่ 4 ด้วย ให้ชัวร์ๆ ไปเลยว่าตรงนี้แน่นอน” ผศ.ดร.ศิรดล อธิบายการทำงานของ GPS
คำถามต่อมา “อะไรทำให้ GPS ทำงานผิดพลาดจนสร้างความปั่นป่วนกับผู้ใช้งาน” ผศ.ดร.ศิรดล อธิบายต่อไปว่า การรับ-ส่งข้อมูลของระบบ GPS โดยเฉลี่ยจะมีการปรับปรุงข้อมูลทุกๆ 1 วินาที แต่แม้จะรวดเร็วขนาดนี้ในบางสถานการณ์อาจไม่เพียงพอ เช่น เมื่อขับรถด้วยความเร็ว 90-100 กม./ชม. จะเท่ากับทุกๆ 1 วินาทีรถเคลื่อนที่ได้ 25 เมตร ซึ่งเร็วกว่าการประมวลผลของ GPS จึงเกิดกรณี GPS แจ้งเตือนช้า (Delay) กว่าการขับรถที่เลยจุดนั้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการ GPS มักนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งว่าตัวรับสัญญาณมีการเปลี่ยนทิศทางหรือไม่ หากไม่มีการเปลี่ยนทิศทางก็พอจะบอกตำแหน่งได้อย่างถูกต้อง แต่อีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาคือ “สภาพเส้นทางจริงแตกต่างกับสิ่งที่ดาวเทียมมองเห็น” กล่าวคือ เป็นเส้นทางที่ไม่ได้มีการสำรวจในภาคพื้นดินแต่ดาวเทียมมองเห็นว่ามีรูปร่างเหมือนถนน จึงแนะนำให้ผู้ใช้งานไปทางนั้น แต่เมื่อไปจริงก็พบว่าเป็นทางลูกรัง ทุ่งนา หนองน้ำ ฯลฯ
ถึงกระนั้น ด้วยความที่ผู้ให้บริการ GPS มีการเก็บข้อมูลการใช้งาน ซึ่งเมื่อมีผู้ใช้งานกันมากๆ ระบบก็จะมีคลังข้อมูลจำนวนมากจนพอจะประมวลผลได้ว่าพื้นที่ใดที่มีการเดินทางผ่านไป-มาบ่อยๆ ก็น่าจะเป็นเส้นทางที่สามารถใช้สัญจรได้จริงๆ นอกจากนี้ ยังสามารถแยกแยะประเภทเส้นทางได้ด้วย เช่น เส้นทางรถยนต์ เส้นทางจักรยาน เส้นทางคนเดิน โดยดูจากความเร็วของการสัญจรในบริเวณนั้น
แต่ระบบก็ยังมีข้อจำกัดในการแยกแยะระหว่างเส้นทางของรถยนต์กับจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) รวมถึงระหว่างรถยนต์ทั่วไปกับรถบรรทุก จึงมักจะมีข่าวทำนองว่า ผู้ใช้รถยนต์ขับไปตามทางที่ GPS แนะนำ ไปเจอทางที่ดูแคบๆ แต่ก็ยังฝืนเข้าไปแล้วก็ไปติดอยู่ในนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วจุดนั้นเป็นที่ที่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์นิยมขี่ผ่านแต่ไม่กว้างพอจะให้รถยนต์ขับผ่านไปได้ หรือถนนที่มีจุดกลับรถใต้สะพาน หากเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ย่อมลอดผ่านไปได้ แต่เมื่อคนขับรถบรรทุกที่ความสูงเกินกว่าจะลอดผ่านขับไปทางนั้นตามที่ GPS บอกผลคือไปติดอยู่ใต้สะพาน เป็นต้น
“ตอนนี้ก็ยังมีปัญหา โหมดมอเตอร์ไซค์กับโหมดรถยนต์ก็แยกกันไม่ได้เพราะว่าความเร็วมันคล้ายๆ กันจริงๆ เขาก็พยายามแยกนะแต่มันแยกไม่แม่น คือมันจะแยกได้ในระดับซูเปอร์ไฮเวย์จริงๆ รถมันวิ่ง 120 (กม./ชม.)อะไรพวกนี้ รถส่วนใหญ่มันวิ่งประมาณนี้ นี่คือทางที่รถยนต์วิ่งได้ แต่ทางที่ทำไมมันวิ่งไม่เกินเท่านั้นเท่านี้เขาก็จะสงสัยว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ แต่มอเตอร์ไซค์กับรถยนต์ คือจากข้อมูลมันจะแยกค่อนข้างยาก ด้วย Character (ลักษณะ) ความเร็วมันคล้ายๆ กัน แล้วมันไม่มีข้อมูลอื่นๆ ที่จะมาบอกอะไรเราได้แล้วอีก
แต่เราก็คงต้องรายงานกันไปเรื่อยๆ ว่าตรงนี้มันไม่ใช่ทางรถ ง่ายๆ ดูอย่างรังสิต-นครนายก เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนรถบรรทุกกลับรถได้ ตรงไหนรถบรรทุกกลับไม่ได้ เราเองเป็นคนกรุงเทพฯ ก็ยังไม่รู้ ก็ต้องช่วยกันรายงานไป แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง อย่างน้อยๆ คือเมื่อข้อมูลมันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เรียนรู้แล้วก็ใช้เรื่องของ AI เข้ามา ก็น่าสนใจว่าเขาจะทำตรงนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ต้องมีอัลกอริทึมอย่างไรในการที่จะบอกว่ารถบรรทุกมันมีลักษณะแบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผศ.ดร.ศิรดล ระบุ
ในตอนท้าย ผศ.ดร.ศิรดล แนะนำการใช้ GPS แบบลดความเสี่ยงหลงทางเข้ารกเข้าพง คือ “หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผู้ให้บริการยังไม่เคยสำรวจภาคพื้นดิน” เช่น กูเกิ้ลที่มีบริการ Google Map หลายเส้นทางจะมีภาพถ่ายของทิวทัศน์โดยรอบบริเวณนั้น (Street View) จากการที่ทางกูเกิ้ลเคยส่งทีมงานขับรถยนต์ไปสำรวจมาแล้วให้ผู้ใช้บริการได้ดูด้วย ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเส้นทางลักษณะนี้ใช้สัญจรได้จริงๆ และควรเลือกใช้ในการเดินทาง
แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ต้อง “กลับสู่พื้นฐานของการขับขี่” ด้วยการเพิ่มความระมัดระวัง ใส่ใจสังเกตบรรยากาศรอบๆ ให้มากขึ้น และหากเห็นท่าไม่ดีก็ควรกลับรถไม่ไปต่อจะดีกว่า!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี