บทบาทของกองทัพในเรื่องการเมืองนั้นมีอยู่ในหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะกับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งก็มีสาเหตุหลายประการ เช่น ความทะเยอทะยานของผู้นำกองทัพที่ต้องการมีบทบาททางการเมือง การยึดติดของฝ่ายกองทัพกับความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ และความคิดและความเชื่อที่ว่า ฝ่ายกองทัพเป็นผู้ที่จะประกันความมั่นคงและเสถียรภาพให้แก่บ้านเมืองได้ รวมทั้งความล้มเหลวของฝ่ายพลเรือนในการบริหารราชการที่ทำให้ฝ่ายกองทัพต้องเข้าแทรกแซงเพื่อ
แก้ปัญหาบ้านเมือง และความไม่เชื่อถือ ไม่มั่นใจว่าฝ่ายพลเรือนจะสามารถนำพาบ้านเมืองได้ เป็นต้น
ในกรณีของปากีสถานนั้น ตั้งแต่ได้รับเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษเมื่อยังเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย จนต่อมาได้แยกตัวออกจากอินเดียเมื่อปี ค.ศ. 1947 ฝ่ายกองทัพปากีสถานก็มีบทบาททางการบ้านการเมืองของปากีสถานมาโดยตลอด ทั้งด้วยการเป็นรัฐบาลเสียเอง ไม่ก็ทำตนเป็นพลังหลังฉากคานอำนาจของฝ่ายพลเรือน ไม่ก็ทำตัวเป็นผู้คัดท้ายความเป็นไปของการเมืองฝ่ายปากีสถาน จัดได้ว่ากองทัพเป็นพลังอำนาจที่สำคัญที่สุดของการเมืองปากีสถาน ซึ่งหมายความว่าฝ่ายกองทัพสามารถชี้เป็นชี้ตายให้กับฝ่ายพลเรือน และขับเคลื่อนวิถีทางทางการเมืองของปากีสถานอยู่เบื้องหลัง
ฝ่ายกองทัพปากีสถานอาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วนที่สำคัญก็คือ ฝ่ายกองทัพบก และฝ่ายข่าวกรองทหาร (Military Intelligence) และเมื่อฝ่ายกองทัพมีพลังอำนาจ ก็เป็นความจำเป็นที่ฝ่ายพลเรือน ไม่ว่าพรรคการเมืองใดที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องรับฟังข้อคิดเห็นของฝ่ายกองทัพ และหาหนทางที่จะรวมอยู่กับฝ่ายกองทัพให้ได้ อีกทั้งฝ่ายกองทัพก็เสมือนเป็นบรรษัทธุรกิจอย่างหนึ่งที่มีกิจการธุรกิจต่างๆ เป็นของตนเอง รวมทั้งมีที่ดินที่จะจัดสรรให้กับครอบครัวทหาร เพื่อไปทำมาหากินภายหลังเกษียณอายุด้วย ประเด็นที่ฝ่ายกองทัพคอยสอดส่องดูแลและคอยกำกับอยู่เบื้องหลังก็มีอาทิ ความมากน้อยของลัทธิอิสลามนิยมในเวทีการเมือง และวิถีชีวิตของสังคมปากีสถาน การรักษาดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับสหรัฐอเมริกา กับความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับจีน การดำเนินความสัมพันธ์กับอินเดียซึ่งเป็นประเทศคู่อริ ที่มีปัญหาข้อพิพาทว่าด้วยดินแดน โดยเฉพาะในแคว้นแคชเมียร์ และการปฏิบัติของฝ่ายรัฐบาลอินเดียต่อชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นต้น
ในความเป็นจริงของปากีสถานนั้น พรรคการเมืองใดจะสามารถชนะการเลือกตั้ง และกุมเสียงข้างมากไว้ในรัฐสภาได้
ก็มักจะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของฝ่ายกองทัพ ซึ่งเมื่อ 3-4 ปี ที่ผ่านมา ฝ่ายกองทัพได้สนับสนุนให้ นายอิมราล ข่าน อดีตนักกีฬาคริกเก็ตระดับโลก และพรรคของเขาได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล แต่เมื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ นายอิมราล ข่าน กลับดำเนินนโยบายที่ค่อนข้างจะไปในทิศทางของการเป็นชาตินิยม ทำการต่อต้านอิทธิพลของฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือหลักต่อกองทัพปากีสถานในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ส่งผลให้ในที่สุด รัฐบาลของนายอิมราล ข่าน ก็ถูกโค่นล้มในรัฐสภา และตกไปเป็นฝ่ายค้านเมื่อปีที่แล้ว จากนั้นมา นายอิมราล ข่าน ก็เป็นผู้นำเรียกร้องให้มีการยุบสภาเพื่อการเลือกตั้งใหม่ แทนที่จะรอให้ถึงการหมดวาระในเดือนสิงหาคมหน้า ซึ่งหากการประท้วงกินระยะเวลายาวนาน และแพร่ขยายไปทั่วประเทศ ก็อาจจะก่อให้เกิดการปั่นป่วน และการไร้ซึ่งเสถียรภาพของปากีสถาน ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าฝ่ายกองทัพจะเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหารและยึดอำนาจอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ได้บ่งบอกว่า ฝ่ายกองทัพปากีสถานเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายความเป็นไปของการบ้านการเมือง และความเป็นประชาธิปไตยของปากีสถาน
คำถามคือ แล้วปากีสถานจะสามารถก้าวไปเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบได้หรือไม่? หรือนัยหนึ่งฝ่ายกองทัพจะวางมือจากเรื่องการบ้านการเมือง และกลับเข้าสู่กรมกองอย่างถาวรเมื่อไหร่ ?
ซึ่งทั้งสองอย่างคงเป็นเรื่องยากลำบาก จากเหตุผลหลัก 3 ประการคือ
1. การที่ปากีสถานยังต้องต่อกรกับอินเดียในฐานะศัตรูตัวฉกาจ และฉะนั้นฝ่ายกองทัพปากีสถานจึงมีความสำคัญยิ่ง
ต่อฝ่ายการเมืองของปากีสถาน ในการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับอินเดีย
2. ฝ่ายพลเรือนจำเป็นที่จะต้องแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ของตนเองให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น การเล่นพรรค
เล่นพวก การบริหารพรรคการเมืองแบบธุรกิจครอบครัว หรือแบบราชวงศ์การเมือง (Political Dynasty) เพื่อที่จะไม่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายกองทัพสามารถมีข้ออ้างเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวมิใช่เรื่องที่จะกระทำได้ง่ายๆ แต่ระหว่างนี้ ทั้งฝ่ายกองทัพ และฝ่ายพลเรือนก็ต้องใฝ่หาสูตรสำเร็จของการอยู่ร่วมกันให้ได้ โดยการคงไว้ซึ่งสังคมประชาธิปไตย ที่มีการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชนพลเมืองผ่านการเลือกตั้ง และการมีระบบรัฐสภาที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนพลเมือง
3. ฝ่ายกองทัพและฝ่ายพลเรือนจะต้องมีการเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการมีข้อตกลงที่จะให้มีนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศ ที่เป็นที่ยอมรับได้และปฏิบัติได้อย่างยั่งยืน ไปจนถึงการตีกรอบมิให้ลัทธิอิสลามนิยมเข้ามาครอบงำวิถีชีวิตของสังคม และเวทีทางการเมือง
ซึ่งคำตอบและทางออกต่างๆ นั้น ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายกองทัพฝ่ายพลเรือน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักๆ ในสังคมปากีสถานจักต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันเป็นสำคัญ
หันมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย เราก็ยังมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพกับการเมืองมาโดยตลอดไม่ต่างจากปากีสถาน ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านแบบเขา หากแต่สิ่งที่คล้ายกันคือความวุ่นวายของบรรดาพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่มักจะไม่เกรงใจประชาชน จนเปิดช่องให้กองทัพอ้างความชอบธรรมในการเข้ามากวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือผ่าทางตันของความขัดแย้งทางการเมือง ด้วยการทำรัฐประหารเป็นระยะๆ ซึ่งปัจจุบันก็พัฒนามาถึงการวางหมากในการร่างรัฐธรรมนูญ ที่เอื้อให้ฝ่ายกองทัพสามารถกุมอำนาจบริหารฝ่ายการเมืองได้อย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ซึ่งสังคมไทยก็ได้มีการต่อต้าน และการประท้วง และนัยของการเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายกองทัพ เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่ได้มีเวทีที่จะอำนวยให้มีการปรึกษาหารือ แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เปิดเผยและตรงไปตรงมาแก่ประชาชนไทย
ก็คงจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องพิจารณาถึงบทบาทของกองทัพในการเมืองไทย ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่? โดยจะต้องช่วยกันกดดันให้พรรคการเมืองต่างๆ อยู่ในร่องในรอย มีจริยธรรมและธรรมาภิบาล เอาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ซึ่งหากทำได้เมื่อไหร่ สังคมไทยก็จะก้าวไปเป็นสังคมแห่งการมีเหตุมีผล และออมชอม ยิ่งใกล้เวลาหมดวาระของรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาเรื่อยๆการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศก็กำลังจะเกิดขึ้น ชาวไทยจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการปลดแอกออกจากครอบงำของกองทัพได้หรือไม่?ก็คงขึ้นอยู่กับบรรดานักการเมืองทั้งหลายว่า จะเห็นประโยชน์ของชาติ หรือประโยชน์ของพวกตนมากกว่ากัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี