เนื้อหาบางตอนที่ควรถูกตั้งคำถาม อาทิ
“...นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ผ่านมา 90 ปี ประเทศไทยยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ โดยประเด็นที่เป็นใจกลางหลักของความขัดแย้งเสมอ คือ คำถามว่าอำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของใครกันแน่ ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพ หรือว่าประชาชน?
...เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไทยลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการ เรียกร้องการเลือกตั้ง พวกเขาจะได้รับกระสุนปืนเป็นค่าตอบแทนเสมอ เราสูญเสียวีรชนไปถึง 77 คนในเดือนตุลาคม 2516, กว่าอีก 200 คนในเดือนตุลาคม 2519, กว่า 100 คน ในเดือนพฤษภาคม 2535, และ อีก 99 คน ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 นี่คือคำตอบจากชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม ว่าพวกเขาจะไม่มอบอำนาจสูงสุดให้ประชาชนโดยเด็ดขาด
ปัจจุบัน เรามี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อการรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 เป็นผู้นำที่ยังคงสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เป็นเวลาถึง 8 ปีแล้ว
….ผมและคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ตามมาด้วยการดำเนินคดีอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ยุยงปลุกปั่น,พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์
เสรีภาพของผมถูกจำกัด ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกจองจำ และไม่ใช่เพียงแค่ผมเท่านั้น ครอบครัวของผมและคนที่ผมรัก ผู้ให้การสนับสนุนผมมาตลอดการเดินทางบนเส้นทางการเมือง ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่หลานสาวอายุเพียง 17 ปีของผม ที่ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ไปด้วย
ความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเราไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศไทยเท่านั้น ผลลัพธ์ของความล้มเหลวนี้ยังเดินทางข้ามพรมแดนไปสู่ประชาคมโลกอีกด้วย
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำพาประเทศไทยไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศจีนมากขึ้น ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร…”
ข้อพึงพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อจะได้เห็นว่า ใครเป็นเด็กเลี้ยงแกะ? ใครบิดเบือนเพื่อดิสเครดิตบ้านเมืองตัวเองต่อกลุ่มที่อ้างประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ?
1.ตั้งแต่หลังปี 2475 ประเด็นที่เป็นใจกลางหลักในความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย จนนำไปสู่การรัฐประหารหลายครั้ง ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นเรื่อง นักการเมืองทุจริตโกงกิน ตั้งแต่โกงเลือกตั้งแล้วเข้ามาถอนทุน ถูกประชาชนประท้วงขับไล่ เกิดความรุนแรง แล้วก็เกิดรัฐประหาร
ครั้งล่าสุด ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยิ่งชัดเจน เป็นเรื่องนักการเมืองโกงจำนำข้าว ออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีโกงกินให้ญาติตัวเองได้ประโยชน์ การโยกย้ายเอื้อญาติจนศาลตัดสินใจยิ่งลักษณ์พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฯลฯ นั่นทำให้มวลมหาประชาชนออกชุมนุมประท้วงมากเป็นประวัติการณ์
ประชาชนที่ออกมาประท้วงโดยสันติวิธี ถูกกองโจรเถื่อนถ่อยลอบยิง ลอบปาระเบิด ใช้เอ็ม-79 ยิงใส่กลางเมืองก็มีครั้งแล้วครั้งเล่า เสียชีวิตหลายสิบคน บาดเจ็บจำนวนมาก นายธนาธรไม่เอ่ยถึงในนิยามการต่อสู้กับเผด็จการในเสื้อคลุมประชาธิปไตยเหล่านั้นเลย ราวกับชีวิตคนไทยกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาและการรับรู้ เพราะอะไร?
2.เพิ่งมามีช่วงหลังจากที่พรรคของนายธนาธรไม่ได้เป็นรัฐบาล ที่มีไอ้โม่งจัดตั้งเครือข่ายเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างรุนแรงมากขึ้น ปลุกปั่นข้อมูลเท็จลงไปป้อนเยาวชนให้ออกมาทำผิดกฎหมาย 112 โดยสารพัดเรื่องถูกจับโป๊ะ น่าอับอาย อาทิ เรื่องสนามม้า
นางเลิ้ง เรื่องงบสถาบัน เรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เรื่องโครงการหลวง เรื่องวัคซีน เรื่องแอร์ไม่เย็น ฯลฯ
แม้แต่เรื่องในอดีต อย่างเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ผู้หลบหนีคดี 112 ไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ยังยอมรับว่า ไม่มีข้อมูลหลักฐานใดจะไปกล่าวหาสถาบันได้เลย
3. นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จวนจะอยู่ครบสมัยเลือกตั้งอยู่รอมร่อ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมาทุกปี อภิปรายในวาระต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน ถูกโจมตีรุนแรงในสภา-นอกสภา ในโซเชียลทั้งเกมบนดิน-ใต้ดิน แต่ชี้แจงข้อมูลหักล้างในทุกๆ ประเด็น และยังได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
แต่คนบางกลุ่มกลับยังหมกมุ่นติดหล่มกับวาทกรรมสืบทอดอำนาจเผด็จการ
นิยามประชาธิปไตยของนักการเมืองกลุ่มนี้ คงต้องพวกกูได้เป็นรัฐบาล จึงจะเรียกว่าประชาธิปไตย
นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตย แต่เป็นความล้มเหลวในการแย่งชิงอำนาจรัฐไทยมาเป็นรัฐบาลที่เดินตามแนวทางสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกามากกว่า เพราะไม่ว่าจะเรื่องเมียนมาไม่ว่าจะเรื่องวัคซีน ไม่ว่าจะเรื่องรัสเซีย-ยูเครน หรือเรื่องจีน ฯลฯ แนวทางที่นายธนาธรและคณะผลักดัน ล้วนแต่เข้าทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาอย่างออกหน้าออกตา
4. ที่เหลือเชื่อมาก คือ การที่นายธนาธรกล่าวถึงคดีตนเอง คนใกล้ชิด ญาติมิตร และหลานวัย 17 ระบุว่า“ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง” ราวกับว่าคนเหล่านี้ ถูกยัดคดี ไร้หลักฐานข้อเท็จจริงที่มีมูลคดีใดๆ เลย !!!!
ความจริง คือ คนเหล่านี้ ล้วนแต่ได้ “กระทำการ” จนมีมูลอันเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น ตัวนายธนาธร แม่สมพร พี่สาวน้องชาย อั่งอั๊ง นายปิยบุตร นางสาวพรรณิการ์ ฯลฯ
ขณะนี้ ทุกคนยังไม่มีใครถูกศาลยุติธรรมพิพากษาว่ามีความผิด ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ มีสิทธิต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป โดยยังไม่มีใครถูกคุมขังด้วยซ้ำ
ประการสำคัญ คดีของแต่ละคน หลายคดีที่ใช้เวลาเนิ่นนานในชั้นพนักงานสอบสวน และปัจจุบัน ยังคาอยู่ที่ชั้นอัยการ คดีที่ยังไปไม่ถึงศาลอาญาเลยด้วยซ้ำ อาทิ
4.1 คดีนายธนาธรจัดรายการกล่าวหาพลังดูด คสช. อัยการสั่งไม่ฟ้อง
4.2 คดีถือหุ้นสื่อบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด ลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562
กรณีหุ้นสื่อ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายธนาธรมีความผิด ต้องพ้นสภาพ สส. ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 แต่ในส่วนคดีอาญา พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ส่งฟ้องต่ออัยการ
22 เมษายน 2564 อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร และส่งเรื่องให้ผบ.ตร.
11 เมษายน 2565 ผบ.ตร. ทำความเห็นแย้งอัยการ พร้อมส่งสำนวนกลับไปให้อัยการสูงสุด
ถึงขณะนี้ เรื่องยังอยู่ที่สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด
4.3 คดีรุกป่าราชบุรี นายธนาธรพี่สาว และมารดา รวม 2,154 ไร่
กรมป่าไม้ได้ตรวจสอบ จากนั้นแจ้งความต่อตำรวจบก.ปทส. โดยเอาผิดนางสมพรนางสาวชนาพรรณ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
27 มกราคม 2565 นายชีวะภาพ ชีวะธรรม รองอธิบดีกรมป่าไม้ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป่าไม้ ทำหนังสือถึงอัยการจังหวัดราชบุรี เห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของ ตำรวจ บก.ปทส.
29 มีนาคม 2565 กรมที่ดินสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก จำนวน 59 ฉบับ เนื้อที่รวม 2,111 ไร่ จังหวัดราชบุรี
อัยการได้สั่งให้ตำรวจ บก.ปทส.สอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ตำรวจบก.ปทส. ได้สอบเพิ่มเติมและส่งเรื่องให้อัยการพิจารณาให้ความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องไปหลายเดือนแล้ว
ปัจจุบัน คดีนี้ ยังอยู่ในชั้นอัยการ
4.4 คดีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของธนาธร กรณีให้สินบน 20 ล้านบาท แก่เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาวย่านชิดลม มูลค่า 500 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ
คดีเดิม เมื่อปี 2560 มีเพียงเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 1 คน และผู้ร่วมขบวนการอีก 1 คน ที่ร่วมรับสินบนจากนายสกุลธร ถูกดำเนินคดี ถูกศาลตัดสินจำคุก คนละ 3 ปี โดยทั้ง 2 คนออกจากเรือนจำมาแล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2563
ส่วนนายสกุลธร เข้าข่ายผู้ให้สินบนหรือไม่? อัยการได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ว่า อยู่ในระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนว่าเป็นความผิดทางอาญาฐานให้สินบนหรือไม่
ต่อมา ตำรวจกองปราบฯได้สอบสวน และเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 นายสกุลธรได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา มาตรา 144 ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน โดยให้การปฏิเสธ อ้างว่าเป็นการจ้างที่ปรึกษาดำเนินการตามปกติ มิได้ใช้ให้ไปติดสินบน
ต่อมา พงส.สั่งฟ้อง ส่งสำนวนไปให้อัยการ อัยการให้สอบสวนเพิ่มเติม
ขณะนี้ สำนวนคดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน กองปราบฯ
4.5 ส่วนคดี 112 ไม่ว่าจะเป็น กรณีนายธนาธร อั่งอั๊งนายปิยบุตร หรือนางสาวพรรณิการ์ คดีล้วนแต่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม โดยมีต้นเหตุมาจากการโพสต์ข้อความที่มีมูลอันเป็นเหตุให้ดำเนินคดีทั้งสิ้น (ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าโพสต์แบบที่แต่ละคนทำ ก็ล้วนเข้าข่ายจะถูกดำเนินคดี 112 ได้ทั้งนั้น) แต่จะมีความผิดหรือไม่ อยู่ที่ศาลยุติธรรมจะเป็นผู้พิพากษาคดี
ปัจจุบัน คนเหล่านี้ ไม่ได้ถูกควบคุมตัว อย่างนายธนาธร นายปิยบุตร ก็ยังบินไปต่างประเทศได้ ไปพบปะกับคนหนีคดี 112 ในต่างแดน ก็ยังได้
ทั้งหมด เป็นข้อสงสัยว่า ทำไมต้องไปพูดบิดเบือนเพื่อดิสเครดิตบ้านเมืองตัวเอง หรือไม่? พยายามแก้ต่างให้ตัวเองและพวกพ้องบนเวทีอ้างประชาธิปไตยในต่างประเทศ ราวกับคนที่นั่งฟังนั้น ไม่รู้เรื่องราวในบ้านเมืองเรามาก่อน (ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น) ทำไปเพื่ออะไร? เพื่อประชาธิปไตยจริงหรือ? ใครได้ประโยชน์กันแน่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี