การประชุมเอเปกที่ได้ผ่านพ้นไปนั้น ดูเผินๆ เหมือนจะนับเวลาถอยหลังของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อาจเพราะด้วยเหตุจากวลีการยุบสภาฯ หลังการประชุมเอเปก ซึ่งได้ส่งผลให้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่การประชุมนี้เป็นพิเศษ และแม้ว่าจะมีการประกาศว่า การยุบสภาฯ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงหลังเอเปก แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าจะยุบสภาฯ? อีกทั้งยังมีกระแสข่าวการโบกมือลาพลเอกประวิตร ยิ่งทำให้เรื่องราวนั้นดูพัลวันกันไปหมด และยากต่อการคาดเดาว่าในท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยในทิศทางใดกันแน่?
ในช่วงปีที่ผ่านมานั้นพลเอกประยุทธ์ต้องเผชิญเหตุการณ์ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่หลายครั้ง ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พุ่งเป้าพลเอกประยุทธ์ถึงสองครั้ง รวมถึงปมแปดปีนายกฯ ที่แม้จะไม่สุ่มเสี่ยงต่อการยุบสภาฯ มากเท่าไหร่นัก แต่กระทบต่อพลเอกประยุทธ์โดยตรง ซึ่งแน่นอนกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ไปด้วย และจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของฝ่ายค้านก็ตามแรงเขย่าเหล่านี้นำไปสู่การเขย่าบัลลังก์ 3 ป. ให้ต้องระส่ำ หรือไม่?
หากย้อนกลับไปในช่วงที่พลเอกประยุทธ์จำต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น ก็นับเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่ทำให้พลเอกประวิตร พี่ใหญ่ขั้วสาม ป. ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนในช่วงหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบดูแล และเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย หรือแม้กระทั่งข่าวการจับมือกับนายชัชชาติ ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯป้ายแดง เพื่อควบคุมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ
ซึ่งการขึ้นมาดำรงตำแหน่งรักษาการของพลเอกประวิตร ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างปรากฏการณ์ให้เป็นประเด็นที่ประชาชนต่างพูดถึงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะการเปรียบเทียบการทำงานระหว่างพี่ใหญ่และน้องเล็ก ก่อนที่ในท้ายที่สุดพลเอกประยุทธ์จะรอดพ้นจากประเด็นนายกฯ 8 ปี จากการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม และกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่ออย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของประเทศเจ้าภาพในการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC
อย่างไรก็ตามพลันที่การประชุมเอเปกได้เสร็จสิ้นลง พลเอกประยุทธ์ก็โดนกระทุ้งจากประเด็นการยุบสภาฯ หลังเอเปกอย่างทันควัน จากทุกฝ่ายซึ่งอาจรวมถึงแรงเขย่าในมุ้งพลังประชารัฐเองด้วยหรือไม่?
เพราะอันที่จริงประเด็นเรื่องของการยุบสภาฯ หลังการประชุมเอเปกนั้น ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์เพียงอย่างเดียวหรือไม่? ยังมีปัจจัยและตัวแปรอื่นๆ ที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจยุบสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ตลอดจนความพร้อมด้านการจัดกระบวนทัพ ความชัดเจนของพรรค ในขณะที่ผลโดยอ้อมอย่างการโยกย้ายสังกัดพรรคของบรรดา สส. เขต จากพรรคการเมืองต่างๆ มีช่วงเวลาที่มากขึ้นและอาจเกิดการดูดเพิ่มหรือย้ายกลับ แต่ดูแล้วก็น่าจะยังเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
หากเกิดปรากฏการยุบสภาฯ ในช่วงนี้จริง ฝ่ายผู้นำการจัดตั้งรัฐบาลเอง ก็ดูจะไม่ได้กุมความได้เปรียบต่อพรรคคู่แข่งทางการเมืองสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐในตอนนี้ ที่กระแสคะแนนความนิยมดูจะยังไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังเกิดความระส่ำภายในอย่างมากในช่วงนี้ และหากเปรียบเทียบสถานภาพภายในพรรคร่วมแล้ว หากเกิดตัดสินใจยุบสภาฯ ในช่วงเวลานี้ ดูแล้วพรรคภูมิใจไทย น่าจะเป็นต่อมากกว่า? แต่หากจะบอกว่าพรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดหากเกิดการยุบสภาฯ ก็คงไม่ใช่
แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่สูง และเป็นที่หมายปองของบรรดา สส. ที่ต้องการจะย้ายสังกัดมากที่สุด แต่ถึงแม้ว่าในเชิงกายภาพ กำลังพลของพรรคภูมิใจไทยจะดูเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ อยู่ไม่น้อย แต่ก็อย่าลืมว่าพรรคภูมิใจไทยในตอนนี้ก็ยังอยู่ในสถานภาพของพรรคขนาดกลางที่กำลังรอโอกาสที่จะขยับสู่สถานะของพรรคขนาดใหญ่ แต่ภายใต้กฎและกติกาที่ยังไม่แน่นอนนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้หรือไม่? โดยเฉพาะกติการเลือกตั้งรอบนี้ที่ดูเหมือนพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐและเพื่อไทยจะคิดตรงกัน
เท่ากับฝ่ายค้านพรรคใหญ่เองอย่างเพื่อไทย ก็น่าจะยังไม่อยากให้มีการยุบสภาในเวลานี้ ซึ่งจะตรงข้ามกับพรรคขนาดกลางและเล็กที่เหลือทั้งหมดหรือไม่?
เมื่อประเมินจากปัจจัยโดยรอบแล้ว การตัดสินใจยุบสภาฯในช่วงเวลานี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพลเอกประยุทธ์ ด้วยเหตุแห่งความพร้อม และสถานการณ์โดยรวม ที่ยังไม่ได้ส่งผลให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่นั้น เหนือพรรคการเมืองคู่แข่ง ทั้งพรรคการเมืองร่วมรั้ว และพรรคการเมืองขั้วตรงข้าม และในเมื่ออำนาจในการยุบสภาอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี ดังนั้นการรอจังหวะจนกว่าจะถึงสถานการณ์ที่พร้อมตลอดจนได้เปรียบจึงน่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ยังไม่น่าจะมีการตัดสินใจยุบสภาฯ ในช่วงเวลานี้
เมื่อสถานการณ์ไม่เหมือนเดิม เกมส์จึงเปลี่ยนไปทั้งหมด
จึงมีความเป็นไปได้ในระดับที่ค่อนข้างสูง ที่พลเอกประยุทธ์อาจเลือกที่จะยืดเวลาดำรงตำแหน่งไปจนครบวาระหรือเฉียดวันครบวาระ? เท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้พลเอกประยุทธ์ได้ไตร่ตรองและตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางการเมืองของตนเองมากขึ้น แต่ถ้าตัดสินใจแล้วก็ยังมีเวลาในการ
เตรียมความพร้อมด้านการจัดเตรียมกระบวนทัพ แต่แม้จะอยากดำเนินยุทธวิธีด้วยความใจเย็นมากสักเพียงใด แต่เรื่องราวทั้งหมดอาจไม่เป็นเช่นนั้น และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เหมือนเป็นการบีบให้พลเอกประยุทธ์ให้ต้องแสดงท่าทีอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นอีกด้วยหรือไม่?
ไม่ทันที่ประเด็นการยุบสภาฯ จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่บนหน้าสื่อ ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ข่าวร้อนประเด็น การแยกทางระหว่างพี่ใหญ่และน้องเล็ก เขย่าบัลลังก์ 3 ป. ซึ่งในเรื่องประเด็นของการแยกทางดังกล่าวนั้นมีมาตลอดแต่ตอนนี้ยิ่งใกล้เลือกตั้งกลับยิ่งชัดขึ้นจนถึงมีสื่อบางสื่อเปิดหัวไว้ก่อนแล้ว?
พลันที่การประชุมเอเปกได้ปิดฉากลงอย่างที่ตั้งเป้าไว้ ได้ส่งผลให้ความเคลื่อนของพลเอกประยุทธ์ ดูจะมีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะหลังจากที่จบการประชุม APEC ก็ได้มีกระแสข่าวว่า พลเอกประยุทธ์ ได้เข้าไปยังบ้านป่ารอยต่อฯ เพื่อเข้าพบและหารือกับพลเอกประวิตรในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก่อนจะตามมาด้วยกระแสข่าวที่โหมเข้ามาอย่างหนักว่า พลเอกประยุทธ์เข้ามาลาพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตรเป็นที่เรียบร้อย? ซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่ากระแสข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่หากกระแสดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับว่าพลเอกประยุทธ์เลือกเส้นทางที่จะเดินต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือไม่?
แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ากระแสข่าวการแยกทางระหว่างพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร จะมีต้นสายปลายเหตุ ที่มาที่ไปอย่างไร? แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทั้งหมดดูแล้วเหมือนจะเป็นการบีบให้พลเอกประยุทธ์ จะต้องตอบคำถามต่อสื่อมวลชนก่อนเวลาอันควรที่ตั้งใจหรือไม่ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็ยังคงเมินเฉยที่จะตอบคำถามนี้กับบรรดาสื่อมวลชน
ขณะเดียวกันผู้ที่เป็นคนออกมาโต้ข่าวแทนกลับเป็นนายพีระพันธุ์ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ออกมากล่าวว่า ณ เวลานี้พลเอกประยุทธ์ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแต่อย่างใด แต่แม้นายพีระพันธ์ุจะได้มีการออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงดังกล่าว แต่ก็ใช่ว่าโอกาสที่ทั้งสองท่านจะได้ร่วมการทำงานกันในอนาคตจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือไม่? เพราะก่อนหน้านี้เองนายพีระพันธ์ุก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อสำนักหนึ่งว่า เคมีการทำงานตรงกันกับพลเอกประยุทธ์ ซึ่งเมื่อคำสัมภาษณ์ดังกล่าวออกมาในเชิงบวก ทั้งหมดจึงถูกนำไปคาดเดาเรื่องเวลาเท่านั้น
หากพลเอกประยุทธ์ตัดสินใจแยกทางเดินกับพรรคพลังประชารัฐและหันมาเต็มที่กับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่หลายสำนักต่างได้คาดการณ์เอาไว้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าผลกระทบจากการเลือกเส้นทางเดินของพลเอกประยุทธ์ จะส่งผลถึงพรรคพลังประชารัฐอย่างไรต่อไปบ้าง? อย่าลืมว่าพรรคพลังประชารัฐ ในตอนนี้ก็เริ่มที่จะเข้าสู่ช่วงอ่อนกำลังหรือไม่ ทั้งเรื่องคะแนนความนิยม อีกทั้งโครงสร้างภายในของพรรคเอง ก็ยังเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ไม่อาจก้าวข้ามผ่านได้ แต่ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคะแนนนิยมพลเอกประยุทธ์ยังมีอยู่มากและยิ่งผลงานหลังเอเปกแล้ว ยิ่งส่งให้ภาพลักษณ์กลับมายืนอีกครั้ง แต่หากพลเอกประยุทธ์โบกมือลาพรรคพลังประชารัฐไปอาจส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐอาจสูญเสียแม่เหล็กที่จะรั้งคะแนนพรรคไว้หรือไม่?
อีกหนึ่งวิกฤตที่อาจตามมาจากการที่พลเอกประยุทธ์ตัดสินใจจบเส้นทางการเดินกับพรรคพลังประชารัฐนั่นคือการที่ สส. จากสังกัดพรรคพลังประชารัฐ อาจโบกมือลาจากต้นสังกัด เพื่อติดสอยห้อยตามพลเอกประยุทธ์ไปยังพรรคต้นสังกัดใหม่ ซึ่งว่ากันตามตรง แม้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะเป็นของพลเอกประวิตร แต่ด้วยความที่พลเอกประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นระยะเวลายาวนาน คะแนนนิยมส่วนใหญ่ของพรรคจึงถูกมองว่าขึ้นอยู่กับพลเอกประยุทธ์เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ย้ายสังกัดไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็อาจเป็นเหตุให้บรรดา สส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ศรัทธาและยังเชื่อมั่นในตัวของพลเอกประยุทธ์เก็บกระเป๋าและย้ายสังกัดตามพลเอกประยุทธ์ไปด้วยหรือไม่? หรือบางส่วนตัดสินใจไปพรรคอื่น
หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าพรรครวมไทยสร้างชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกหนึ่งก้าวและเป็นก้าวที่สำคัญเพราะในตอนนี้แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะยังเป็นพรรคการเมืองพรรคใหม่ แต่หากมีแนวทางในการสร้างพรรคที่ชัดเจนและเก็บมุมแก้ปัญหาที่เคยเกิดกับพรรคพลังประชารัฐได้ เชื่อว่าในอนาคตพรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่น่าจับตา แต่ก็อย่าลืมว่าเท่ากับทุกคะแนนยังคงฝากไว้กับพลเอกประยุทธ์ จึงยังนับเป็นความท้าทายของนายพีระพันธุ์ที่จะสร้างความเป็นสถาบันให้กับพรรคในขณะที่เพิ่งเริ่มนับหนึ่งอย่างไรก็ตาม การที่มีกระแสข่าวขุนพลเบอร์ต้นๆ ของประชาธิปัตย์ทยอยลาออกจากพรรค โดยเฉพาะแกนนำจากภาคใต้มาเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็อาจทำให้เกิดการไหลต่อเนื่องของบรรดาสส.ประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ที่จากการสำรวจล่าสุดพบว่าคะแนนนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์มีสูงกว่าภาคอื่นๆ ตัดสินใจย้ายออกมามากขึ้นหรือไม่?
หลังการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ได้สิ้นสุด การรอคอยเรื่องความชัดเจนของกำหนดการยุบสภาฯ นั้น ยังคงไม่ปรากฏ แต่จับตาให้ดูว่าหลังจากนี้ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายโดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์จะเป็นสิ่งชี้ชะตาว่าการเลือกตั้งจะถูกกำหนดเมื่อใด แต่เท่าที่ดู พลเอกประยุทธ์น่าจะยังคงอยู่ในสนามการเมืองต่อในการเลือกตั้งครั้งนี้
จะมีใครย้าย? หรือสุดท้ายจะไม่มีใครยุบ?
อีกไม่นานได้รู้กัน
“คนมีชีวิตอยู่ก็ต้องอดทน อดกลั้น ความหมายอีกหนึ่งของอดทน...คือดิ้นรนต่อสู้ อดกลั้นทนทานโดยไม่หยุดยั้ง ก็คือ ดิ้นรนต่อสู้โดยไม่หยุดยั้ง มิเช่นนั้น ชีวิตของท่านจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เนื่องเพราะความจริงชีวิตเติบใหญ่ขึ้นจากห้วงทุกข์ทรมาน”
โกวเล้ง จาก ผู้ยิ่งใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี