อัยการสูงสุดชี้ขาด ไม่ฟ้อง “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อ วี-ลัค แม้ ศาลรธน.วินิจฉัยขาดคุณสมบัติ
โฆษกอัยการชี้แจงว่า พยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอ
กรณีนี้ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่อีกครั้ง ซ้ำรอยคดีบอสที่อัยการเคยสั่งไม่ฟ้องหรือไม่?
1. นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยงรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจง
คดีนี้ กกต. ยื่นดำเนินคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ สน.ทุ่งสองห้อง
ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบ มาตรา 42 (3)
ต่อมา พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 467/2563 ในข้อหารู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตนเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ กรณีถือหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด (หุ้นสื่อ)
พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางคดี คือ สั่งไม่ฟ้องนายธนาธร ในความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตนเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อ ตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42 (3), 151 วรรคหนึ่ง แล้วจึงส่งสำนวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1
ภายหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีความเห็นแย้ง แล้วส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อพิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/1 วรรคสอง
ล่าสุด อัยการสูงสุด ได้พิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่า การดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาในความผิด ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตนเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42(3), มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญาจำต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวงว่าผู้ต้องหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริงหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
อัยการชี้แจงว่า แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการไต่สวนพยานของผู้ต้องหาดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นว่ามีข้อพิรุธในเรื่องการโอนหุ้นจริงหรือไม่ ก็เป็นเรื่องพิรุธในข้อเท็จจริงของคำให้การพยานฝ่ายผู้ต้องหาเพียงฝ่ายเดียว แต่การดำเนินคดีอาญาโจทก์จะต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาแสดงหรือใช้นำสืบพิสูจน์ให้ศาลรับฟังเชื่อได้โดยปราศจากข้อระวังสงสัยว่า
ผู้ต้องหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ทั้งข้อพิรุธของผู้ต้องหา กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายแต่อย่างใด จึงไม่อาจนำเอาข้อพิรุธของพยานฝ่ายผู้ต้องหาตามที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อยืนยันว่าผู้ต้องหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา
ได้โดยลำพัง
นอกจากนี้ ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง และหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมใดเกี่ยวข้องกับบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ภายหลังจากวันที่ระบุว่ามีการโอนหุ้นไปแล้วที่จะทำให้มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ต้องหายังคงถือหุ้นอยู่ในขณะเกิดเหตุ หรือมิได้โอนหุ้นของตนให้แก่นางสมพรแต่อย่างใด ทั้งผู้ต้องหามิได้เป็นผู้มีอำนาจจัดการ แทนบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด จึงไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นตามแบบ บอจ.5 ให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯ ทราบ การที่ผู้มีอำนาจจัดการแทนบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัดเพิ่งแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทล่าช้า จึงยังไม่อาจนำมารับฟังให้เป็นผลร้ายแก่
ผู้ต้องหาได้
ประกอบกับคดีนี้มีผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา จึงเห็นว่าพยานหลักฐาน ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟ้องและพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้
อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งชี้ขาดไม่ฟ้องนายธนาธร
นายธรัมพ์ กล่าวว่า เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องในคดีอาญานายธนาธรจึงไม่มีความผิดในข้อหาคดีอาญา คือ พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องในคดีนี้ แต่ส่วนการวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติของการเป็น สส.ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกไปแล้ว ผลก็ต้องเป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ต้องเรียนว่าเป็นการพิจารณากฎหมายคนละฉบับกัน อัยการพิจารณาเฉพาะในส่วนของข้อหาคดีอาญา ซึ่งอัยการดูเรื่องเจตนาจากพยานหลักฐานทั้งหมดพบว่านายธนาธรน่าจะไม่มีความผิดกฎหมายอาญา และขอย้ำว่าไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ท่านวินิจฉัยในเรื่องของคุณสมบัติต้องห้ามของนายธนาธรในการเป็นสส.
2. กรณีวินิจฉัยว่า นายธนาธรถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ขณะสมัครรับเลือกตั้ง สส.
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง ชี้ขาดไปแล้ว เป็นผลให้นายธนาธรสิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น สส.
เป็นคนละคดี คนละกฎหมาย กับกรณีที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง
ในส่วนของความผิดทางอาญานั้น ก่อนหน้านี้ ก็มีการดำเนินคดีอาญากับผู้สมัคร สส.ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องหุ้นสื่อไปแล้วหลายคน โดยอัยการสั่งฟ้อง
แต่มาคดีนายธนาธร พงส.ส่งสำนวนฟ้องไปอัยการ อัยการสั่งไม่ฟ้อง ผบ.ตร.ยืนยันสั่งฟ้อง และอัยการสูงสุดชี้ขาดว่า สั่งไม่ฟ้อง
อ้างว่า “พยานหลักฐาน ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟ้องและพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้”
การที่อัยการวินิจฉัยขาดไปเช่นนี้ คดีจึงไม่ได้ขึ้นไปถึงศาลยุติธรรม จบลงแต่ในชั้นต้นธารกระบวนการยุติธรรมนี่เอง ต่างจากคดีผู้สมัคร สส.ที่ถือหุ้นสื่ออีกหลายๆ คนที่คดีไปถึงชั้นศาล และส่วนใหญ่ก็มักจะไม่รอด
3. ขอให้กลับไปอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ว่าทำไมจึงไม่เชื่อว่ามีการโอนหุ้นกันก่อนจะสมัครรับเลือกตั้งอย่างไร เพราะเหตุผลใด?
โดยเฉพาะคำวินิจฉัยส่วนตนของ ศ.จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ว่า “ผู้ถูกร้อง (นายธนาธร) จัดทำเอกสารการโอนหุ้นย้อนหลัง เพื่อไม่ให้ขาดคุณสมบัติ จึงทำให้เกิดพิรุธหลายประการ”
บางตอนระบุว่า
...กรณีผู้ถูกร้องยังถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. บัญชีรายชื่อ คือวันที่ 6 ก.พ. 2562 หรือไม่?
ศ.จรัญ ระบุว่า ข้อเท็จจริงตามที่ได้จากเอกสารหลักฐานในส่วนของสำนวนและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนของศาล มีข้อพิรุธที่เป็นสาระสำคัญหลายประการ เช่น ผู้ถูกร้องอ้างว่าขายหุ้นให้นางสมพร เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 แต่ไม่ได้ดำเนินการแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เพิ่งดำเนินการยื่นสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2562 หลังจากวันที่อ้างว่าทำสัญญาโอนหุ้นนานถึง 27 วัน และเป็นวันหลังจากนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร สส.พรรคอนาคตใหม่ จ.สกลนคร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2562 สั่งให้ถอนชื่อออกจากผู้สมัครรับเลือกตั้งเพราะขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.ที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน เมื่อพิจารณาประกอบกับตราสารการโอนหุ้นของผู้ถูกร้อง ที่มีทนายความรับรองลายมือชื่ออันเป็นการกระทำมากกว่าที่กฎหมายบัญญัติ แสดงให้เห็นถึงความจงใจของผู้ถูกร้อง เพื่อทำให้น่าเชื่อว่า มีการโอนหุ้นกันในวันดังกล่าวจริง
อาจารย์จรัญ ระบุอีกว่า จากเอกสารหลักฐานที่มิได้อยู่ในความครอบครองของคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด โดยยังไม่ได้โอนหุ้นออกไป เนื่องจากเป็นบริษัทที่ผู้ถูกร้องไม่ได้เป็นผู้บริหารและไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ตามที่ได้เบิกความไว้ต่อศาล แต่เมื่อผู้ถูกร้องทราบว่า นายภูเบศวร์ ถูกศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้ถอนชื่อออกจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2562 เนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชน ผู้ถูกร้องกลับจัดทำเอกสารการโอนหุ้นย้อนหลังเพื่อไม่ให้ขาดคุณสมบัติจึงทำให้เกิดพิรุธหลายประการ
ส่วนกรณีการส่งสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้น (บอจ.5) นับตั้งแต่ปี 2552 บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จะจัดให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น และนำส่ง บอจ.5 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร โดยเร็วทุกครั้ง แต่การโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 ตามที่อ้างนั้น ไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น และไม่มีการส่ง บอจ.5 ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ซึ่งเป็นการผิดปกติวิสัยอย่างที่เคยปฏิบัติมา ทั้งๆ ที่การโอนหุ้นครั้งนี้มีความสำคัญต่อการเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะถ้ามิได้โอนไปก่อนวันที่ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกตั้ง ย่อมจะทำให้ผู้ถูกร้องมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3)
ศ.จรัญ ระบุด้วยว่า “เมื่อพิจารณาจากข้อพิรุธหลายจุดหลายประการ ประกอบกับพยานหลักฐานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีที่สอดรับกันอย่างแน่นหนาแล้ว ย่อมมีความน่าเชื่อมากกว่าพยานเอกสารและคำเบิกความของพยานผู้ถูกร้อง ข้อเท็จจริงที่ได้จากพฤติการณ์แวดล้อมที่เป็นพิรุธน่าสงสัยหลายประการประกอบกัน มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายและพยานหลักฐานของผู้ถูกร้องได้ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนในวันที่ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ...”
4.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีหลายพันล้าน เคยกล่าวโจมตีคดีนายวรยุทธอยู่วิทยา หรือบอส ขับรถชนตำรวจตาย แล้วอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ระบุว่า ประเทศไทยเป็นที่ที่น่าอยู่มากสำหรับ VIP หรือคนรวยและคนมีอำนาจ แต่สำหรับคนธรรมดา คนที่หาเช้ากินค่ำ ประเทศนี้ไม่มีความเป็นธรรมสำหรับพวกเขา นี่คือสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจน
“เป็นเรื่องที่ประชาชนมีความเคลือบแคลงสงสัย และถือว่าเป็นการปฏิบัติแบบ2 มาตรฐาน เมื่อคนรวยมีอำนาจ ก็ไม่ต้องติดคุก ในขณะที่คนไม่มีอำนาจ กลับต้องติดคุกเมื่อทำผิดกฎหมาย” - นายธนาธรกล่าวถึงคดีบอสเมื่อครั้งที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี