เดอะ ดิโพลแมต สื่อออนไลน์ ทำรายงานพิเศษเรื่อง“นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่วางมือทางการเมืองอย่างเดียวดาย”
โซเฟีย เลมีเร เสนอรายงานพิเศษว่า “หนึ่งวันก่อน ดาโต๊ะอันวาร์ อิบราฮิม สาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของมาเลเซีย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ออกแถลงการณ์น้อมรับความพ่ายแพ้ และประกาศวางมือทางการเมือง”เธอบรรยายว่า การเลือกตั้งทั่วไป 19 พ.ย. 2565 เป็นวันที่พิเศษที่เหนือความคาดหมายเมื่อเป็นวันถึงสถานีปลายทางอย่างเดียวดาย ในการเดินทางการเมืองหกทศวรรษของ มหาเธร์ โมฮัมหมัด นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศมามาเลเซีย
18 พ.ย. มหาเธร์ยืนหลังไมค์ฯ หน้าอาคารหลังใหญ่ที่จารึกชื่อเขาไว้เบื้องหน้า โดยที่ไม่คาดคิดว่า นั่นเป็นการปราศรัยทางการเมืองครั้งสุดท้ายของตุน มหาเธร์ โมฮัมหมัด เขาปราศรัยหาเสียงให้กับพรรคเปจวง พรรคอนุรักษ์นิยมที่เขาตั้งขึ้นมาในปี 2563 ไม่ขึ้นกับพรรค “แนวร่วมแห่งความหวัง” ที่เขาจัดตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ เป็นการปราศรัยหาเสียงการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 15 ในประเทศมาเลเซีย คำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากเขาได้การสนองตอบจากผู้ฟังหลายหมื่นคนตะโกนประสานเสียงว่า อิตอับตุนๆ (อับตุน จงเจริญๆ)
มหาเธร์ ถือกำเนิดในปี 1925 หนึ่งปีก่อนพระราชสมภพควีนเอลิซาเบธที่ 2 ผู้เสด็จสวรรคต เขาเติบโตในอะลอร์เซตาร์ ทางตอนเหนือของรัฐเคดะห์บิดาเป็นครูประชาบาล มารดาเป็นแม่บ้าน มหาเธร์อยู่ใกล้กับบ้านพักอาศัยนายเตียไซมุดดินซึ่งต่อมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และเป็นที่ปรึกษาให้เขา
มหาเธร์ผู้ได้เห็นประวัติศาสตร์มาเลเซีย จากญี่ปุ่นเข้ายึดครองในปี 2485 และได้รับเอกราชจากอังกฤษ ปี 2501 และการแยกตัวออกของสิงคโปร์ที่เคยเป็นสหพันธรัฐมาลายาในปี 2508 มหาเธร์ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้วางแผนการพัฒนาอนาคตของมาเลเซีย เขาใช้เวลา 29 ปี ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษารองนายกฯ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 22 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2524 ถึง 2546
หลังจากนั้นเขาถอยห่างออกไป และหวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ครั้งใหม่ อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเขาชนะเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2561 แต่รัฐบาลผสมของเขาล่มสลายในปี 2563
การเมืองในมาเลเซียยุคที่นำโดยนายนาจิบ ราซัค เต็มไปด้วยข้อครหาคอร์รัปชั่น ผลักดันให้เขากลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้ง โดยการสมัครเลือกตั้งในเขตลังกาวี ที่เขาเคยชนะแลนด์สไลด์ในปี 2561 มหาเธร์มาลังกาวีครั้งแรกในฐานะนายแพทย์หนุ่มในปี 2518 และต่อมาเมื่อเข้าร่วมมือทางการเมืองเขาได้ผลักดันเกาะลังกาวีให้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ลังกาวีจึงเป็นฐานเสียงมั่นคงของเขาตลอดมา
คืนวันที่ 18 พ.ย. 2565 ในวัย 97 ปี เชื่อว่าเขายังเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ในเขตนี้ เขากล่าวปราศรัยอย่างมั่นใจว่าร่างกายยังแข็งแรงพอที่จะถ่อขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเพื่อให้รวมได้ 25 ปี จากที่เขาเคยเป็นมาแล้ว “การได้เป็น สส.ในเขตลังกาวี มันไม่มีพลังพอที่จะเป็นนายกฯได้” เขากล่าวกับโซฟี ก่อนปราศรัย
มหาเธร์ใช้ชีวิตทางการเมืองส่วนใหญ่กับพรรคองค์การมลายูรวมแห่งชาติ หรือ อัมโน ซึ่งเป็นพรรคที่เขาร่วมก่อตั้งในปี 2489 และพรรคอัมโนผูกขาดเป็นรัฐบาลมาตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ พ.ศ. 2500 เขาลาออกจากพรรคอัมโนเป็นการประท้วงนายนาจิบ ราซัคซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีข้อครหาคอร์รัปชั่น นาจิบซึ่งเคยอยู่ในความอุปถัมภ์ของเขา แต่มหาเธร์ต้องจำใจทิ้งพรรคอัมโน เมื่อประธานพรรคถูกเปิดโปงเรื่องคอร์รัปชั่นที่พัวพันกับหลายประเทศทั่วโลก จากการยักยอกเงินกองทุนพัฒนามาเลเซีย หรือ 1MDB ที่มีเครือข่ายโยงใยในหมู่แกนนำพรรค ซึ่งใช้เล่ห์กลซับซ้อนเล่นแร่แปรธาตุไปทั่วโลก จากนักแสดงชั้นนำในมาเลเซียไปถึงฮอลลีวู้ดจากนาจิบ ราซัค ถึง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ
การลาออกของมหาเธร์ เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือดไหลในพรรคอัมโน ปี 2559 มีการซักถามโต้เถียงกันเรื่องอื้อฉาวในโครงการ 1MBD กับนายนาจิบ นักการเมืองหลายคนตีจากรวมทั้งมูฮ์ยิดดิน ยัซซิน และมูฮ์คริซบุตรชายมหาเธร์ แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ในชื่อเบอร์ซาตู เป็นพรรคมุสลิมนิยม และเป็นตัวแทนของมุสลิมหัวรุนแรงในสังคมพหุวัฒนธรรม และพหุศาสนาในประเทศที่มีชาวมาเลย์นับถือมุสลิมถึง 60%
มหาเธร์ตระหนักดีว่าการล้มอันวาร์ลงได้ ต้องมีพรรคการเมืองที่ครอบคลุมพหุวัฒนธรรมและศาสนา ในเดือนธ.ค. 2559 เขาดึงแกนนำกลุ่มแนวร่วมปฏิรูปประชาธิปไตยของ อันวาร์ อิบราฮิม ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งมิตรและศัตรูทางการเมืองเข้ามาเป็นพันธมิตร ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจในยุทธศาสตร์สร้างอำนาจของเขา
ปี 2543 มหาเธร์ เคยดึงนายอันวาร์ ซึ่งเป็นแกนนำขบวนการนักศึกษาที่เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปเข้ามาเป็นพันธมิตร เพื่อต้องการให้ขบวนการปฏิรูป ไม่กลายเป็นมุสลิมหัวรุนแรง ในขณะที่มีการปฏิวัติให้เป็นรัฐอิสลามในประเทศอิหร่าน เวลานั้นอันวาร์เป็นผู้นำเยาวชนมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย มหาเธร์ ตะล่อมให้ อันวาร์เชื่อฟังโดยการยกตำแหน่งให้เป็นผู้นำในเชิงสัญลักษณ์ และให้เคลื่อนไหวชูนโยบายมุสลิมนิยมได้แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ในทางปฏิบัติ มหาเธร์ ไม่ได้ฝักใฝ่และเข้าใจในอุดมการณ์มุสลิมนิยมมากนัก
มหาเธร์เชื่อว่าจะเป็นมุสลิมนิยม หรือ คอมมิวนิสต์ก็สามารถทำให้เชื่องได้โดยการยกตำแหน่งให้เบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพความมั่นคงของเขา
ภายใต้ร่มเงาของมหาเธร์ นายอันวาร์ได้รับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในปี 2536 เขาก้าวขึ้นเป็นเบอร์สองรองจากมหาเธร์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความแตกต่างทางด้านอุดมการณ์และนโยบายทำให้ทั้งสองไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ในการบริหารจัดการวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2541 ประกอบกับความนิยมในตัวนายอันวาร์พุ่งขึ้นสูงจนน่าตกใจ มหาเธร์จำเป็นต้องปลดนายอันวาร์ที่กำลังได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ
เมื่อถูกปลดออกจากตำแหน่งนายอันวาร์ ก็ตั้งขบวนการปฏิรูปขึ้นมา ในไม่ช้าอันวาร์ก็กลายเป็นฝ่ายค้านที่เป็นอันตรายต่อรัฐบาล มหาเธร์ ผลของการต่อต้านรัฐบาลไม่นานอันวาร์ถูกตั้งข้อหาคอร์รัปชั่นและร่วมเพศกับชายด้วยกัน นายอันวาร์ถูกศาลตัดสินจำคุกหกปี
เมื่ออันวาร์ติดคุก ขบวนการปฏิรูป ก็แปลงกายกลายเป็น “พรรคยุติธรรมประชาชน” โดยมี นางวันอาซิซาร์ ภรรยาอันวาร์เป็นผู้นำ ปรากฏตัวขึ้นมาในปี 2547และอันวาร์ก็ได้รับการปล่อยตัวในปีเดียวกัน แต่นายอันวาร์ก็ต้องเดินเข้าคุกอีกครั้งในปี 2558 ในข้อหาร่วมเพศกับคนเพศเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 นายอันวาร์ได้มอบอำนาจให้มหาเธร์ เป็นผู้นำพรรคขบวนการปฏิรูป เพื่อให้มีพลังเข้มแข็งพอต่อกรกับนายนาจิบและพรรคอัมโน
เมื่อได้พรรคปฏิรูปมาเป็นพันธมิตร โดยมี พรรคยุติธรรมประชาชน พรรคกิจประชาชน และพรรคอิสลามิสต์ อิมานาห์ซึ่งเป็นพรรคสายกลางเข้ามาเป็นพันธมิตร ทำให้แนวร่วมของมหาเธร์เข้มแข็งขึ้นภายใต้การรวมตัวเฉพาะกิจในนาม “พรรคพันธมิตรแห่งความหวัง”
มหาเธร์สัญญากับพันธมิตรว่า เมื่อถึงเวลาล้มพรรคอัมโนลงได้ พันธมิตรแห่งความหวัง ได้เป็นรัฐบาล เขาจะขอนิรโทษกรรมให้นายอันวาร์ได้เข้ามามีบทบาทในสภา และจะส่งมอบอำนาจต่อให้นายอันวาร์บริหารประเทศแต่ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่ามอบอำนาจให้วันไหน
เดือนม.ค. 2561 มหาเธร์ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง ที่เขาเคยปราบปราม เป็นแกนนำ นายอันวาร์ กับ ดร.มหาเธร์ แต่งงานทางการเมืองกันได้ไม่นาน หลังจากอันวาร์ได้รับการปล่อยออกมา และชนะเลือกตั้งซ่อมเข้าสภา นายอันวาร์กดดันให้มหาเธร์กำหนดวันถ่ายโอนอำนาจให้ชัดเจนว่าเป็นวันไหน
มหาเธร์ก็พยายามยื้ออำนาจให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ จนเรื่องบานปลายกลายเป็นการบาดหมางรอบใหม่ ทำให้ไร้เสถียรภาพในรัฐบาลผสม ในที่สุดรัฐบาลเฉพาะกิจที่เกิดจากพันธมิตรที่รวมตัวกันหลวมๆ ก็ล่มสลาย ในเดือนมกราคม 2563 มหาเธร์ลาออกจากพรรคเบอร์ซาตู (รวมกันเป็นหนึ่งเดียว) พรรคแนวร่วมแห่งความหวังกลายเป็นฝ่ายค้าน พรรคอัมโนรวบรวมเสียงข้างมากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งจนถึงวันยุบสภา สรุปว่าในเวลาสี่ปีมาเลเซียมีนายกรัฐมนตรีสี่คน
คืนวันที่ 18 พ.ย. 2565 กับมหาเธร์อยู่บนเวทีในลังกาวี แต่ดูเหมือนว่า สี่ปีผ่านไปไม่มีอะไรใหม่ มหาเธร์ปราศรัยคล้ายการพูดในลังกาวีเมื่อปี 2561 เขาโจมตีพรรคอัมโนและพูดเรื่อยเปื่อยเรื่องยักยอกเงิน 1MDB ในขณะที่นายนาจิบอยู่ในคุกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรณรงค์หาเสียง อันวาร์ปราศรัยหาเสียงได้น่าสนใจกว่า เขาเรียกร้องให้เกิดความสามัคคีและร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในขณะที่มหาเธร์เรียกร้องให้ปฏิเสธกลุ่ม LGBF เพื่อแซะนายอันวาร์ที่เคยติดคุกข้อหาร่วมเพศกับผู้ชายด้วยกัน เขากล่าวว่าถ้าเลือกพรรคพันธมิตรแห่งความหวัง คือ สนับสนุนให้มีการแต่งงานในเพศเดียวกัน
วาทกรรมของมหาเธร์ทำให้คนรุ่นใหม่อายุ 18 ปีที่ได้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรก 1.5 ล้านคน เบนความสนใจไปเทคะแนนให้พรรค PAS ซึ่งเป็นพรรคเคร่งครัดอิสลาม ชนะการเลือกตั้งได้ 45 ที่นั่ง
ในเวลาเดียวกัน ที่พรรคเปจวง ของมหาเธร์ ถูกกวาดตกเวที นายมูฮ์คริซ ลูกชายมหาเธร์ แพ้เลือกตั้งแล้ว ยังถูกริบค่าสมัคร นายอัครามยาห์ ซานุซี นักวิเคราะห์การเมืองของพรรคเปจวงกล่าวว่า “เรารู้ตั้งแต่ต้นว่าจะแพ้เลือกตั้งแต่คาดไม่ถึงว่าจะแพ้ยับเยินถึงเพียงนี้...”
เมื่อฉัน (โซฟี) ถามว่า ทำไมท่านไม่เลือกรีไทร์ทำไมถึงเลือกเล่นเกมพ่ายแพ้ มหาเธร์ ตอบว่า “ผมรักประเทศของผม ผมมีหน้าที่ปกป้องไม่ให้ถูกทำลายในทางการเมืองบางครั้งคุณแพ้บางครั้งคุณชนะ และผมพร้อมรับสิ่งนี้” วันที่ 23 พ.ย.หนึ่งวันก่อน นายอันวาร์ สาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของมาเลเซีย มหาเธร์ ออกแถลงการณ์ขอวางมือทางการเมืองโดยอธิบายว่า เพื่อได้มีเวลาเขียนบันทึกเรื่องราวที่เขาได้ทำมาเพื่อประเทศมาเลเซีย
แม้จะมีข้อครหามากมาย แต่หวังว่าเขายังคงเป็นสัญลักษณ์ของนักการเมืองทั่วโลกทั้งในทางที่ดีและทางร้าย ในทางที่ดีเขาเป็นนักการเมืองอุทิศตนเพื่อการพัฒนาและอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มาเลเซียมาเกือบหนึ่งศตวรรษ เสียงของเขายังคงได้ยิน ยังมีคนศรัทธาและมีคนชังทั้งนอกประเทศและในประเทศมาเลเซีย ที่เขาร่วมเดินทางมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ถึงศตวรรษที่ 21 และตำนานของเขาคงประสานเข้ากับตำนานของประเทศมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม มหาเธร์กล่าวว่า “ผมไม่ต้องการลัทธิส่วนตัว ผมไม่แคร์เรื่องตำนาน เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องตาย” มหาเธร์กล่าวส่งท้าย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี