ได้อ่านบทความของ นายโจช์ เคอร์แลนต์ซิกต์มันสมองคนสำคัญของสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศ(Council Of Foreign Relatio=CFR)แล้ว ทำให้รู้สึกได้ว่าในปีหน้าสหรัฐมีทีท่าจะโหมกระแสสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน
สหภาพเมียนมา อินโดนีเซีย และประเทศไทยมีแนวโน้มจะเป็นเป้าหมายที่สหรัฐจะสร้างความวุ่นวายในรูปสงครามพันทาง บทความล่าสุดของ นายเคอร์แลนต์ซิกต์ คือ สัญญาณอันตรายที่ส่งให้อาเซียนและประเทศไทยได้เตรียมการล่วงหน้า
โดยปกติถ้าเป็นปฏิบัติการข่าวธรรมดา CFR จะใช้สื่อออนไลน์ที่ชื่อว่า “เดอะ ดิโพลแมต” วิทยุเอเชียเสรี กับ วีโอเอ และสำนักข่าวตะวันตก ในเครือข่าย เป็นเครื่องมือทำปฏิบัติการข่าวหรือไอโอแต่หากเมื่อไหร่ นายเคอร์แลนต์ซิกต์ เขียนบทความในนามของ CFR แล้วดูเหมือนว่า เหตุการณ์ที่เลวร้ายจะตามมา อาจเป็นเพราะว่านายเคอร์แลนต์ซิกต์ เป็นไอโอตัวฉกรรจ์ของ CFR
CFR ก่อตั้งขึ้นในพ.ศ.2464 คือเป็นองค์กรที่พวกยิวไซออนิสต์ ก่อตั้งขึ้น เป็นขบวนการที่มีผู้ทรงอิทธิพลในแต่ละสาขาอาชีพด้านการเงิน การค้าการเมือง รวมตัวกันด้วยเป้าหมายที่ต้องการเป็น “ศูนย์กลางอำนาจบังคับบัญชาโลก”
ตอนก่อตั้ง CFR เป็นองค์ลับที่มีอิทธิพลครอบงำนักการเมืองอเมริกันทุกพรรค ปัจจุบัน CFR เป็นองค์กรที่มีศักยภาพและมีอิทธิพลสูงสุดในการควบคุมโลกยุคนี้ ทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบ มีสมาชิกที่เป็นผู้นําประเทศ รัฐมนตรีนายทหาร นายธนาคาร ฯลฯ อยู่ตามรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกสูงถึง 4,000 คน...
CFR เป็นขบวนการปั่นกระแสโลก เดินเกมผ่านตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษา คาร์ลไลส์กรุ๊ป ที่เข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจการเงิน โทรคมนาคมและพลังงานของประเทศต่างๆ และในส่วนขององค์การการค้าโลกเอ็นจีโอ ธนาคารกลางสหรัฐ ที่เรียกว่า เฟด ไอเอ็มเอฟธนาคารโลก แม้กระทั่งตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นิวสวีกและซีเอ็นเอ็น ล้วนเป็นองค์กรที่เกิดขึ้น ภายใต้การควบคุม-ชักใยของขบวนการ CFR ทั้งสิ้นและปัจจุบันมี..จอร์จ ดับเบิลยู บุช-ผู้พ่อ เป็นประธานใหญ่ของ CFR
นายเคอร์แลนต์ซิกต์ เขียนบทความในนามของ CFR เมื่อกลางเดือนกันยายน 2565 ในหัวข้อว่า “ทำไมประชาธิปไตยจึงเสื่อมทรามเลวร้ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2566”
นายเคอร์แลนต์ซิกต์สาธยายว่า การปกครองแบบประชาธิปไตยในอาเซียนเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยตั้งแต่ปี 2555 และประชาธิปไตยจะเสื่อมลงไปอีกในปี 2566 ซึ่งพูดได้ว่าปีหน้าไม่ใช่ปีที่ต้องตีตราประชาธิปไตยในอาเซียน ประชาธิปไตยที่ถอยหลังเข้าคลองมาสองทศวรรษ ปีหน้าเรียกได้ว่าประชาธิปไตยในอาเซียนจะเสื่อมโทรมอย่างนักหนาสาหัส
ในประเทศพม่ารัฐบาลทหาร ยังครองอำนาจต่อไปท่ามกลางความมืดมนที่มีแต่ความล้มเหลว รัฐบาลทหารพม่า ไม่แคร์ความรู้สึกและวิสัยทัศน์ของประชาคมโลก โดยการจับอดีตทูตขังคุก ประหารชีวิตนักโทษสี่คน จับนางออง ซาน ซู จี ขังคุก
ประเทศไทยรัฐบาลโปรทหาร ยังคงอยู่ในอำนาจได้ เพราะความบกพร่องของการเลือกตั้งมีมลทินเมื่อปี 2562 มีการยุบพรรคการเมือง ฝ่ายนิยมประชาธิปไตย และยุบพรรคฝ่ายค้านด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะผู้พิพากษามีเมตตาต่อกองทัพและพันธมิตรทหารจนออกหน้า (CFR ลามปามไปถึงศาลส่วนเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯอันมิบังควรไม่อาจถอดความมาเผยแพร่ต่อได้=ผู้เขียน)
กัมพูชายังคงเดินหน้าเหวี่ยงแหปราบปรามฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างกว้างขวาง ตลอดถึงกวาดล้างภาคประชาสังคม นักกิจกรรมการเมือง และ เอ็นจีโอ
มาเลเซีย ในขณะที่นายนาจิบ ราซัค ติดคุก เพราะความผิดที่เขากระทำ จึงเป็นโอกาสทองของฝ่ายตรงข้ามที่ได้ยกเลิกเอกสิทธิ์ต่างๆ ที่คุ้มครองเขา ในขณะที่เขายังเป็นแกนนำรัฐบาลผสมของพรรคอัมโน ซึ่งปกครองมาเลเซียแบบกึ่งอำนาจนิยมมานานนับศตวรรษ
อินโดนีเซีย ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด หรือที่เรียกกันติดปากว่า โจโกวี่ กำลังเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยทำอะไรไม่ได้มากนัก ในขณะที่กองทัพเพิ่มอำนาจอิทธิพลเหนือประธานาธิบดีมากขึ้นทุกวัน รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ปราบปรามพวก LGBTQ และกลุ่มอื่นอย่างรุนแรง
ใน 2566 คาดการณ์ว่าประชาธิปไตยในอินโดนีเซียจะเลวร้ายลงไปอีก โจโกวี่เป็นเป็ดง่อยมากขึ้น ในขณะที่รัฐมนตรีกลาโหม พราโบโว สุเบียนโต กำลังขยายอิทธิพลและส่งสัญญาณว่าเขาด้อยค่าประชาธิปไตยมากขึ้นทุกวันเขามีความกระสันจะบริหารประเทศแบบอำนาจนิยม มองตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ที่สำคัญเขาได้รับการเสนอชื่อจากพรรคให้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2567 พราโบโวผู้สมัครที่มีศักยภาพมีฐานคะแนนหลากหลายเพราะเขาได้รวบรวมพันธมิตรและกลุ่มการเมืองที่ทรงอิทธิพลทั้งหลายมาไว้ในสังกัดเรียบร้อยแล้ว
พราโบโว ผู้มีประวัติโหดร้ายตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นผู้นำอินโดนีเซีย เขาได้ตั้งกองกำลังพิเศษขึ้นมาเลียนแบบสมัยจอมเผด็จการซูฮาร์โต พราโบโว ถูกระงับวีซ่าห้ามเข้าสหรัฐมาหลายปีแต่ในปลายสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้รับวีซ่าเข้าอเมริกาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมอินโดนีเซีย
พราโบโวเคยส่งสัญญาณว่าเขาเห็นคุณค่าประชาธิปไตยน้อยที่สุด หากเขาชนะการเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดี พราโบโว อาจยกเลิกการเลือกตั้งท้องถิ่นในภูมิภาคต่างๆ ที่มีการปกครองตนเองอยู่หลากหลายในอินโดนีเซียและเขาอาจใช้วิธีการแต่งตั้งรวบอำนาจมาไว้ส่วนกลางในมือของเขาและคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คน
ในเวลาเดียวกันที่ประเทศฟิลิปปินส์ก็มีสัญญาณว่า ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือบองบอง ไม่ได้ทำให้ประชาธิปไตยดีไปกว่าสมัยประธานาธิบดี โรดดิโก ดูเตอร์เต ผู้ปราบปราบสื่อมวลชนและภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ จนนาทีสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของนายดูเตอร์เต นักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีประชาธิปไตยผู้เลื่องชื่อ วอลเดน เบลโล ถูกจับไม่นานหลังจากบองบอง สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปธน. จนบัดนี้เบลโลยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ
ประธานาธิบดีคนใหม่ปกป้องนายดูเตอร์เต จากการดำเนินคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไอซีซี ที่สอบสวนดำเนินคดีนายดูเตอร์เตจากสงครามยาเสพติดที่ทำให้คนตายหมื่นกว่าราย บองบองปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนายดูเตอร์เตอย่างออกหน้า
ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียน ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญในปี 2566 ในขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกำลังเบื่อหน่ายรัฐบาลโปรทหารที่เปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลยึดอำนาจมาตั้งแต่ 2557 และเป็นรัฐบาลเผด็จการที่ใช้อำนาจพิเศษมา 5 ปี และต่อเนื่องจากเป็นรัฐบาลได้เพราะความบกพร่องของการเลือกตั้ง 2562ที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
โดยภาพรวมทั้งมวลแล้วคาดการณ์ว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่จะลงคะแนนให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ลงคะแนนให้พรรคฝ่ายค้าน แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ชนะเลือกตั้งพรรคฝ่ายค้านก็จะถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคโปรทหารและพันธมิตรของฝ่ายโปรทหารจะใช้กลยุทธ์ใช้เล่ห์เพทุบายไม่ให้ฝ่ายค้านได้มีอำนาจ
มาเลเซียก็เช่นกันต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2566 และการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ใช่เล่ห์เพทุบาย มีการต่อรองเพื่อสมประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่ายถึงแม้มีพรรคการเมืองใหม่ๆ ลงแข่งขัน พรรคอัมโนซึ่งครอบงำมาเลเซียมานานเป็นศตวรรษ จะใช้กลยุทธ์ให้ชนะเลือกตั้งจนได้ โดยการฮั้วกัน สับหลีกผู้สมัครไม่ให้เกิดการแข่งขันกันเอง หรือไม่ก็แบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไม่เป็นธรรม ประกอบกับพรรคฝ่ายค้านไม่สามัคคีแตกแยกกัน ในขณะที่พันธมิตรอัมโนกอดคอกันเหนียวแน่นจะเป็นฝ่ายชนะ
ประเทศเล็กๆ ในภูมิภาค ก็ไม่ดีไปกว่าประเทศใหญ่ ฮุนเซ็น เป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชามากว่าสามทศวรรษ ยังคงขะมักเขม้นปราบปรามสื่อกึ่งเสรีและเป็นศัตรูตัวฉกาจกับภาคประชาสังคม องค์กรเอกชนและเอ็นจีโอ ในเวลาเดียวกันก็พยายามปั้นลูกชายพลโทฮุน มาเนต ให้ขึ้นมามีอำนาจสืบทอดทายาททางการเมือง
เวียดนามยังคงใช้ระบอบอำนาจนิยมวางทิศทางของประเทศ ในขณะที่เวียดนามประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักหนาสาหัสและความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจติดเชื้อไปถึง สปป.ลาว การปกครองด้วยอำนาจนิยมของเวียดนามปราบปรามแม้แต่การประท้วงเล็กๆ น้อยๆ
สหภาพเมียนมาเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การปะทะ และการปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างโหดร้ายในเมืองใหญ่ลุกลามขยายวงกว้างออกไปถึงชนบท และรัฐบาลทหารเมียนมาต้องเผชิญกับฝ่ายต่อต้านที่หลากหลาย กลุ่มพีดีเอฟหรือกองกำลังพิทักษ์ประชาชนที่กระจายกำลังอยู่ทั่วประเทศ เมื่อพีดีเอฟ ร่วมมือกับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐบาลทหารอาจเสียพื้นที่ในวงกว้างให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารที่ใช้ยุทธการสู้รบแบบกองโจร
แต่ถึงแม้ฝ่ายต่อต้านร่วมมือกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์จัดการปลดทหารออกจากอำนาจได้ เมียนมาก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนเป็นเวลานานกว่าจะบริหารจัดการและฟื้นฟูประชาธิปไตยได้
สรุปภาพโดยรวมง่ายๆ ว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่โหดร้ายต่อประชาธิปไตยในอาเซียน ส่วนในประเทศไทยยังพอมีแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยอยู่บ้าง ถ้าฝ่ายค้านและฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งและชัยชนะของพวกเขาได้รับการเคารพหรือหากวิกฤตการเมืองในเมียนมามีความคืบหน้าไปบ้างแต่โดยภาพรวมแล้วประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน ยังมืดมนอนธการ
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นทัศนะของ CFR องค์กรนอกรัฐธรรมนูญที่มีอิทธิพลเหนือพรรคการเมืองใดๆ ในสหรัฐและ CFR ส่งสัญญาณว่าปีหน้าอเมริกาจะก่อสงครามพันทางในอาเซียน อย่างน้อยที่สุดก็ปั่นกระแสสงครามกลางเมืองในเมียนมาที่สหรัฐกับประเทศตะวันตกได้สร้าง proxy หรือสงครามตัวแทนไว้ในเมียนมามานานแล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี