เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ มีการเปิดผลการสำรวจในหัวข้อ“เรื่องร้องเรียนจริยธรรมสื่อในรอบปี และการนำเสนอข่าวที่ผู้บริโภคไม่เชื่อใจ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Year End Forum ผลสำรวจประเด็นสำคัญในรอบปี”จัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาองค์กรของผู้บริโภค สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ChangeFusion Centre for Humanitarian Dialogue (HD) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น และ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย)
ผลสำรวจในครั้งนี้เป็นเสียงสะท้อนของประชาชนในฐานะผู้บริโภคข่าวสารต่อสื่อมวลชน อาทิ “ลักษณะการนำเสนอข่าวที่เข้าข่ายละเมิดจริยธรรมสื่อมวลชน”อันดับ 1 กระทบต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคล/สิทธิเด็ก/สิทธิสตรี รองลงมา นำเสนออย่างหวือหวา ดราม่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อันดับ 3 นำเสนอข้อมูล ภาพหรือเสียงที่ไม่เหมาะสม เช่น อุจาด อนาจาร ละเมิดสิทธินอกจากนั้นมีเรื่องของอคติในการนำเสนอ ข้อมูลเอนเอียงไม่รอบด้าน ข้อมูลบิดเบือนคลาดเคลื่อน
“ในภาพรวมสื่อมวลชนควรปรับปรุงจริยธรรมในด้านใด” อันดับ 1 ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ความเท่าเทียม สร้างความเกลียดชัง รองลงมา นำเสนอข่าวที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อันดับ 3 ให้ข้อมูลไม่ถูกต้องไม่รอบด้าน ไม่เป็นความจริง นอกจากนั้นยังมีเสียงสะท้อนเรื่องไม่คำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก สตรี ผู้สูงอายุผู้พิการ รวมถึงแฝงประโยชน์ทางธุรกิจหรือรายได้
ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค(ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้นำเสนอผลการสำรวจดังกล่าว ยังรวบรวมความคิดเห็นอื่นๆ นอกจากคำถามหลัก ของประชาชนที่ร่วมตอบแบบสอบถามมานำเสนอด้วย โดยในส่วนของ “ความคิดเห็นด้านจริยธรรม” มีเสียงเรียกร้องให้สื่อมวลชนรายงานข่าวด้วยความเที่ยงตรง ถูกต้อง สมดุล สุจริต เป็นธรรม ไม่มีอคติ ไม่เลือกข้างทางการเมือง เคารพแหล่งข่าว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ข้างต้นนั้นเป็นความคาดหวังของสังคม หรือเป็นเรื่องของ “อุดมคติ” ที่คนมีอาชีพสื่อมวลชนควรจะเป็นแต่อีกด้านหนึ่ง “ความเป็นจริง” เอื้อให้สามารถทำงานได้ตามความคาดหวังหรืออุดมคติเพียงใด ดังที่ คมกฤชลำเจียก ตัวแทนสื่อมวลชน ยกข้อมูลจากเฟซบุ๊กเพจข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในระบบช่องทีวีดิจิทัล ที่พบว่า เดือน ม.ค. 2565 มียอดรับชมคลิปวีดีโอของเพจ61.3 ล้านนาที เดือนก.พ. 2565 มียอดรับชม 103.5 ล้านนาที เดือนมี.ค. 2565 มียอดรับชม 163.3 ล้านนาทีและเดือนเม.ย. 2565 มียอดรับชม 23 ล้านนาที
ซึ่งหากจำกันได้ ช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. 2565 มีข่าวใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก คือกรณี แตงโม-นิดา (ภัทรธิดา) พัชรวีระพงษ์ ดาราสาวชื่อดัง ตกน้ำเสียชีวิตขณะล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเหตุเกิดช่วงค่ำวันที่ 24 ก.พ. 2565 จากนั้นสื่อมวลชนก็นำเสนอข่าวนี้กันแบบลากยาวกันเป็นแรมเดือน โดยจากข้อมูลยอดผู้รับชมที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าว คมกฤช ชวนคิดต่อไปว่า การทำงานข่าวแบบง่ายๆ คือการนำเสนอเรื่องราวที่คนสนใจอยู่แล้ว ซึ่งแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกนั้นได้ทั้งยอดผู้ชม เรตติ้ง และรวมไปถึงรายได้จากผู้สนับสนุน
ในทางกลับกัน การผลิตข่าวที่มีสาระและน่าสนใจทำได้ยากกว่า ดังนั้นในขณะที่เรียกร้องกันให้ผลิตข่าวอย่างหลัง หากลองคิดว่าเป็นคนทำงานสื่อแล้วถามตนเองดูก็คงจะมีคำตอบว่าจะเลือกทำข่าวแบบใด ซึ่งก็อาจจะมีคนทำงานสื่อบางคนมีวิธีคิดว่าถ้าเป็นข่าวยากก็ไม่ทำดีกว่า นอกจากนั้นยังให้ความเห็นด้วยว่า เราอาจคาดหวังจริยธรรมสื่อมวลชนสูงเกินไป
“เราคาดหวังให้อาชีพหมอมีจรรยาบรรณแพทย์ อาชีพทนายมีจรรยาบรรณทนาย อาชีพตำรวจ-ทหารมีจรรยาบรรณ แล้วเราก็มาเห็นว่าสิ่งที่มันสะท้อนว่าจรรยาบรรณของอาชีพเหล่านั้นมันลดลงเพราะความเป็นอยู่ของอาชีพเหล่านั้นมันไม่ได้ Cover (คุ้มครอง) ชีวิตเขา พูดง่ายๆก็คือรายได้ของอาชีพสื่อมันไม่ได้สัมพันธ์กับความรับผิดชอบของสื่อ สื่อมีความรับผิดชอบที่สูงมากตามอุดมคติ เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม โน่นนี่นั่น มีจริยธรรม
แต่ถ้าไปถามพนักงานใหม่ๆ ที่เป็นสื่อเข้ามาทำงานรายได้เท่าไร? น้อยกว่าพนักงานออฟฟิศด้วยซ้ำ หน้าที่รับผิดชอบในการทำงานก็มีแล้วยังต้องรับผิดชอบต่อสังคมอีก ดังนั้นผมรู้สึกว่าเราคาดหวังกับสื่อในแง่การรับผิดชอบต่อสังคมอาจจะสูงเกินไปนิด สุดท้ายถ้าเขาต้องเลือกระหว่างความดีกับการอยู่รอดในอาชีพเพราะว่ามันต้องมีเรตติ้ง มันก็เลือกยาก” คมกฤช กล่าว
แม้งานครั้งนี้จะเน้นไปที่อาชีพสื่อมวลชน แต่ก็มีการพูดถึงอาชีพอื่นๆ อยู่บ้างที่มีปัญหาคล้ายกัน โดยป้ามล-ทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก เยาวชนและสตรี ซึ่งที่ผ่านมาตามหน้าสื่อจะคุ้นเคยกับบทบาทการเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ยกตัวอย่างกรณีข่าวองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) แห่งหนึ่งที่ทำงานด้านช่วยเหลือและคุ้มครองเด็กแต่กลับละเมิดสิทธิเด็กเสียเอง
ประเด็นนี้ ป้ามล ให้ข้อสังเกตที่ในองค์กรแห่งนั้นมีคนจบมหาวิทยาลัยในด้านสังคมสงคราะห์ รวมถึงสาขาต่างๆ มากมาย ถามว่าไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์เลยหรือจริงอยู่เรื่องนี้เข้าใจได้เรื่องปัจเจกชนอาจคิดว่าต้องอยู่ให้เป็นแต่ก็น่าคิดอีกเช่นกันว่าสถาบันการศึกษาจะทำอย่างไรให้ปัจเจกกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าเพียงการให้ความรู้ ซึ่งรวมถึงสถาบันที่ผลิตคนทำงานสื่อด้วย
“ความรู้ที่ปราศจากความกล้าหาญมันจะมีประโยชน์อะไร มันแค่เอาให้คนคนหนึ่งมีอาชีพ เอาตัวรอด แต่มันไม่ได้เป็นที่พึ่งของคนที่เปราะบางเลย ดังนั้นเวลาเราตั้งคำถามเรื่องพวกนี้มันก็จะวนไป-มา ระหว่างปัญหาในระดับปัจเจกกับในระดับโครง ในระดับระบบ ซึ่งเราก็อยากให้สถาบันที่ดูแลสื่อลองวิเคราะห์ตัวเองและทะลุทะลวงว่าทำอย่างไรให้ความเป็นปัจเจกของเขายังกล้าหาญต่อไป ในขณะเดียวกันทำอย่างไรกับระบบที่มันไม่เอื้อต่อปัจเจกให้มันอ่อนแอกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาจัดการกับคนได้ง่ายๆ” ป้ามล กล่าว
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่าเพราะเชื่อเหลือเกินว่าเราๆ ท่านๆ หากมองย้อนไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เราถูกสร้างภาพจำเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ในเชิงอุดมคติว่างานที่ทำนั้นได้สร้างประโยชน์หรือคุณงามความดีมหาศาลต่อสังคม แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่ เข้าสู่โลกของการทำงานจริงๆ เราก็มักปล่อยให้อุดมคติเหล่านั้นเจือจางลง แม้ไม่ถึงกับเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ แต่ก็ยอมรับพื้นที่สีเทาได้อย่างชาชิน โดยบอกกับตนเองและคนรอบข้างว่าเพื่อความอยู่รอด เพื่อการมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว
“อุดมคติ vs ความอยู่รอด” จึงเป็น “ทางแยก”ที่เลือกได้ยากของ “ชีวิตคนทำงาน” ไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม และคำถามที่ฝากให้ช่วยกันคิดคือจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี