เริ่มต้นปีใหม่กับสัญญาณเตือนก่อนระฆังศึก การเลือกตั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้นยังไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัด เพราะเงื่อนไขของระยะเวลาส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า พลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีนั้นจะเลือกเส้นทางการเดินของตนเองในรูปแบบใดกันแน่ จะตัดสินใจเลือกดำรงตำแหน่งอยู่จนครบวาระจนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2566? หรือการยุบสภาฯ จะเกิดขึ้นก่อน?
เมื่อขึ้นปีใหม่ในปีแห่งการเลือกตั้งเช่นนี้ สิ่งที่ประชาชนส่วนหนึ่งเฝ้าคอยอาจเป็นเรื่องมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อเป็นของขวัญต้นปีให้แก่ประชาชน ซึ่งมาตรการต่างๆ ที่ออกมาทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือประชาชนต่างๆซึ่งก็น่าจะเป็นผลบวกต่อคะแนนความนิยมไม่น้อย
ในความเป็นจริง หากไม่อยากให้กระแสที่ว่าด้วยเรื่องของมาตรการช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ต้องเลือนรางและจางหายไปเสียก่อน รวมถึงหากจะหลีกหนีการอภิปรายที่ฝ่ายค้านได้ยื่นรอไว้แล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการยุบสภาฯ ในแง่ที่เป็นผลต่อคะแนนนิยมที่สุด ก็อาจเป็นช่วงเดือนมกราคม หรือไม่? ซึ่งหากยุบสภาฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวการเลือกตั้งก็น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ในแง่ความจริงแล้วก็ การเร่งกระบวนการยุบสภาฯ แบบสุดโต่งนี้ก็ยังดูจะไม่ใกล้เคียงความจริงและสถานการณ์ตอนนี้มากนัก
ภายใต้ความชัดเจนที่ยังไม่กระจ่างมากนัก แต่ละฝ่ายก็ล้วนแล้วได้แต่มีการคาดการณ์กันเกิดขึ้น บ้างก็ว่าพลเอกประยุทธ์อาจประวิงเวลาอยู่จนครบวาระ แต่ก็มีบางแหล่งที่คาดว่าพลเอกประยุทธ์อาจยุบสภาฯ ก่อน แม้แต่ประธานสภาฯ อย่างท่านชวน หลีกภัย ที่แสดงความคิดเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่การยุบสภาฯ อาจเกิดขึ้น และน่าจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยการประชุมสภาฯ ซึ่งเท่ากับก่อนหมดสมัยไม่นาน โดยหากยังจำกันได้เคยมีครั้งหนึ่งที่อดีตนายกฯ ท่านหนึ่งก็เคยยุบสภาก่อนหมดวาระไม่กี่วัน
นอกจากนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ ในฐานะอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนตัวของพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการเปรยถึงการยุบสภาฯ บ้างแล้ว แต่โดยความเข้าใจส่วนตัวคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่น่าจะอยู่จนใกล้ครบวาระ แต่อย่างไรเสียกระบวนการยุบสภาฯ จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่จะเป็นเมื่อใดก็เพียงเท่านั้น?
เมื่อลองคำนวณดูเงื่อนไขของเวลาที่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ จากการประมาณการ เท่ากับว่านับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นไป วาระของพลเอกประยุทธ์เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งเงื่อนไขที่สำคัญนั่นคือเงื่อนไขของความพร้อมและกำลังพล แน่นอนว่าพลเอกประยุทธ์ย่อมต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการเตรียมความพร้อมและสะสมกำลังพล เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งในตอนนี้แม้พรรครวมไทยสร้างชาติ จะดูเป็นพรรคที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น จากท่าทีการเตรียมย้ายเข้าของ สส. แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งและพร้อมออกศึก รวมถึงการขมวดปมสส.ที่ยังลังเล อาจต้องกินระยะเวลาไปอีกช่วงหนึ่งกว่าจะพร้อมสำหรับศึกใหญ่หรือไม่?
หากลองคิดดูแล้วยังมีสส. ที่มีความชิดเชื้อกับพลเอกประยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่ตอนนี้ยังสังกัดอยู่กับพรรคเดิม ยังไม่ได้มีการขยับและก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวรวมไทยสร้างชาติแต่อย่างใด? มีแต่ข่าวแต่ไม่มีความชัดเจน บางคนปรากฏข่าวโผล่ถึงสองพรรค และเพราะเหตุใดจึงยังไม่ลงตัว?
มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่าการยุบสภาฯ ของพลเอกประยุทธ์ อาจเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับการหมดวาระ เพื่อให้สส. ได้มีเวลาในการคิดและตัดสินใจในการย้ายสังกัดพรรคการเมืองมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็มีสส. จำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจย้ายสังกัดพรรคการเมืองเพราะกลัวว่าอาจไม่ทันการณ์ แต่หากพลเอกประยุทธ์ได้ประกาศยุบสภาฯ เมื่อใกล้หมดวาระ ก็เท่ากับสามารถประวิงเวลาได้อีกสักระยะหนึ่ง และในช่วงนี้ก็อาจเป็นช่วงที่มีสส. จำนวนไม่น้อยที่อาจตัดสินใจย้ายสังกัดพรรคการเมืองอีกครั้งหรือไม่? เพราะหากพลเอกประยุทธ์ปล่อยให้การดำรงตำแหน่งหมดไปตามวาระ ก็อาจไม่คุ้มกับการที่เป็นผู้คุมกระดานหรือไม่? ยิ่งในสถานการณ์ที่การเลือกตั้งในครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อปี 2562 อย่างสิ้นเชิง
ว่ากันตามตรงศึกการเลือกตั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามานั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับศึกการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ทั้งในแง่ของกฎและกติกาการเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสำคัญที่สุดคือกติกาดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นกติกาที่พาให้พลเอกประยุทธ์ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่รวมถึงสภาพแวดล้อมใกล้ตัวของพลเอกประยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากย้อนเวลากลับไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อปี’62 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ เกิดขึ้นมาจากการเสนอชื่อของพรรคพลังประชารัฐ และพลังของ 3 ป. แต่ในศึกครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะครั้งนี้ดูแล้วหากไม่มีอะไรผิดพลาดพลเอกประยุทธ์ จะเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งอันที่จริงภาพรวมของพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้ดูเหมือนกำลังมาแรงแต่ก็ยังไม่ได้มีทิศทางที่ดีจนน่าไว้วางใจมากนัก และหากประเมินตามสถานการณ์ปัจจุบันแล้วทิศทางของพรรครวมไทยสร้างชาติในตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถการันตีได้ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่แบบพลังประชารัฐที่เคยทำได้หรือไม่?
และอะไรทำให้พลเอกประยุทธ์มั่นใจเช่นนั้น
หากจะมองถึงในมุมที่ทำให้พลเอกประยุทธ์ดูจะมีทิศทางส่วนตัวที่ดีกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ก็คงอาจเป็นการที่พลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีผลงานฝากไว้ในอ้อมอกประชาชนอยู่ไม่น้อยทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหลายสายมากสุดในบรรดาทุกนายกรัฐมนตรี รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่เชื่อม 3 สนามบิน และผลงานอื่นๆ อีกมากมาย ยังไม่นับรวมถึงการที่พลเอกประยุทธ์สามารถบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบพลิกเกมหักปากกาเซียนภายใต้สถานการณ์ที่กดดันได้เป็นอย่างดี จึงน่าจะพอทำให้พลเอกประยุทธ์มีฐานคะแนนเสียงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมไม่มากก็น้อย
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือช่วงที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีรอบนี้ พลเอกประยุทธ์มีการประสานระหว่างหน่วยงานราชการในหลายๆ ภาคส่วน ในแต่ละท้องที่ดีกว่ารอบเก่ามาก เรียกได้ว่าคุมอยู่เบ็ดเสร็จในวงราชการและรวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กวาดชัยชนะเหนือทุกพรรค จึงน่าจะส่งผลด้านบวกต่อความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกประยุทธ์และท้องถิ่นอยู่บ้าง จึงไม่แปลกหากพลเอกประยุทธ์จะมีท่าทีที่มั่นใจและกล้าตัดสินใจมากขึ้น แม้ว่าจะไม่มีอะไรสามารถการันตีได้ว่าการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องก็ตาม
และอันที่จริงเมื่อพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่และน้องเล็กพี่รองอย่างพลเอกอนุพงษ์นั้น จะมีท่าทีและมีการตัดสินใจในรูปแบบใดกันแน่? เพราะประเด็นความแตกต่างของรอบนี้กับรอบที่แล้วที่สำคัญอีกเรื่องคือพลังของ 3 ป. ที่วันนี้พลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตรอาจเดินคนละทาง เหลือแต่เอกอนุพงษ์ที่ถูกตั้งคำถามว่าไปทางใด?
เพราะสำหรับการเลือกตั้งก็คงหนีไม่พ้น กระทรวงมหาดไทยที่ต้องมีการทำงานและประสานงานระหว่างท้องถิ่น ซึ่งเท่ากับว่าเจ้าแห่งกระทรวงอาจเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ก็เป็นได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากพี่รองอย่างพลเอกอนุพงษ์ หากจำเป็นต้องเลือกข้างด้วยสถานการณ์ที่บังคับก็เป็นไปได้ไม่น้อยว่าเจ้าแห่งกระทรวงหาดไทย อาจตัดสินใจถือหางข้างน้องเล็กอย่างพลเอกประยุทธ์ เพราะหากยังจำกันได้เมื่อปีที่ผ่านมานั้น ในบรรยากาศของการประชุมสภาฯ พลเอกอนุพงษ์ก็ดูจะไม่ได้ถูกยอมรับจากสส. พรรคพลังประชารัฐบางกลุ่มมากเท่าไหร่นัก ซึ่งหากว่าพลเอกประยุทธ์สามารถคว้าชัยภูมิที่ดีอย่างกระทรวงมหาดไทยมาไว้ในกำมือได้ ก็น่าจะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอื่นๆ ไม่ใช่น้อยแม้ในท้ายที่สุดพลเอกอนุพงษ์ จะไม่ได้เป็นเจ้าแห่งกระทรวงแล้วก็ตามหรือไม่? เพราะเมื่อไม่นานมานี้เก้าอี้แห่งเจ้ากระทรวงมหาดไทยก็เริ่มมีข่าวเบาๆแล้วว่าอาจถูกจับไปเชื่อมโยงกับนายสุชาติ ชมกลิ่น เจ้าแห่งกระทรวงแรงงาน ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าในท้ายที่สุดเก้าอี้แห่งกระทรวงมหาดไทย จะถูกเปลี่ยนมือจากพลเอกอนุพงษ์ มาเป็นนายสุชาติ แทนหรือไม่?
อย่างไรก็ตามการเดินเครื่องของพลเอกประยุทธ์ก็ดูจะมีแนวโน้มที่ชัดเจนและรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งการที่แต่งตั้งบุคคลที่ไว้ใจได้เข้ามาเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นนายพีระพันธุ์ นั่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อีกทั้งแต่งตั้งนายไตรรงค์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมกระแสข่าวว่าพลเอกประยุทธ์ เตรียมสมัครสมาชิก
พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการที่พลเอกประยุทธ์เดิมพันแบบหมดหน้าตักและเมื่อพลเอกประยุทธ์เดิมพันเช่นนี้ ต้องยอมรับว่าผิดคาดจากที่หลายฝ่ายคิดว่าพลเอกประยุทธ์จะเพียงถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ สถานการณ์แบบนี้ทำให้พรรคการเมืองคู่แข่งพรรคอื่นๆ ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้หรือไม่?
เพราะเมื่อไม่นานมานี้พรรคก้าวไกลเอง ก็ออกมายืนยันว่า จะไม่จับมือกับพรรคการเมืองจากขั้วพี่น้อง 2 ป. ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ของพลเอกประวิตร หรือแม้กระทั่งพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของพรรคก้าวไกล ก็พาให้หวนนึกถึงเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 สมัยที่ยังใช้ชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการจี้เรื่องการจับมือระหว่างพรรคการเมืองกลางเวทีดีเบต จนทำให้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนั้น ถึงกับต้องชะงักก่อนออกมาตอบโต้ ก็น่าสนใจว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์สูญเสียฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาหรือไม่?
แต่การโจมตีโดยอ้อมของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ดูจะไม่ได้เล็งผลถึงพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด หากแต่หนึ่งในพรรคการเมืองที่น่าจะได้รับผลกระทบ จากการออกมาประกาศกร้าวของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมอุดมการณ์ฝ่ายค้าน เพราะเมื่อไม่นานมานี้หากกระแสข่าวเรื่องการจับมือข้ามค่ายระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ เริ่มถูกพูดขึ้นกันอย่างหนาหู และยิ่งหากเมื่อร้อยเอกธรรมนัสหวนกลับคืนสู่รั้วพรรคพลังประชารัฐแล้ว ก็ยิ่งพาให้กระแสดังกล่าวถูกพูดถึงอีกครั้ง หรือไม่? แต่ก็เป็นเพียงแค่ข่าว
อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยเอง ก็ยังคงต้องทำภารกิจแลนด์สไลด์ให้ลุล่วง แต่ถึงกระนั้นเป้าหมายแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ก็ดูจะยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย ทั้งคู่แข่งฐานคะแนนเสียงเดียวกันอย่างพรรคก้าวไกล ที่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สำคัญสำหรับประชาชนที่นิยมฝ่ายนี้ อีกทั้งคู่แข่งทางตรงในพื้นที่ภาคอีสานอย่างพรรคภูมิใจไทยก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคที่ขวางทางแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยเองก็น่าจะเล็งเห็นถึงอุปสรรคเหล่านั้น และจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน จึงไม่แปลกที่จะเกิดกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะดึงสส. กลับสังกัดเก่า พร้อมกับการปักธงเดี่ยวโปรโมทแพทองธาร คนเดียว เพื่อทิ้งไพ่สำคัญคือแบรนด์ตระกูลชินวัตร ซึ่งหากกระบวนการดึงสส. กลับเข้าต้นสังกัดเดิมสำเร็จ ก็เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ผลบวกไปเต็มๆ ทั้งได้ใจประชาชนที่รักและศรัทธาในตัวพ่อใหญ่บ้านชินวัตร ซึ่งอาจส่งผลให้คะแนนเสียงเป็นไปในทิศทางเชิงบวกมากขึ้น
นอกจากนั้นการชูเดี่ยวแพทองธาร ยังได้ใจสส. ที่เชื่อมั่นในตัวพ่อใหญ่บ้านชินวัตรอีกเช่นกัน แต่จะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยไปถึงแลนด์สไลด์ดั่งที่หมายมั่นไว้หรือไม่นั้น ก็คงต้องตามดูกันต่อไป แต่เชื่อว่าไม้เด็ดที่สุดของพรรคเพื่อไทยยังมีอีก?
แม้พรรคเพื่อไทยจะวางเป้าหมายไปที่แลนด์สไลด์ แต่เชื่อว่าอันที่จริงก็น่าจะมีการเตรียมความพร้อมเป็นแผนสำรองในกรณีที่ไม่อาจไปถึงเป้าหมายได้ โดยเฉพาะการมองหาพันธมิตรในการจับมือเพื่อจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้าหรือไม่? ซึ่งนอกจากพรรคพลังประชารัฐแล้ว พรรคภูมิใจไทยก็เป็นอีกหนึ่งพรรคที่มีโอกาสไม่น้อยที่จะจับมือกับพรรคเพื่อไทย ด้วยจำนวนสส. ที่คาดว่าจะได้ครั้งหน้า รวมถึงสายสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิม แม้ในปัจจุบันจะเป็นคู่แข่งทางตรงในพื้นที่ก็ตาม?
อย่างไรก็ตามจากกระแสของพรรคก้าวไกลที่ออกมาว่าจะไม่จับมือกับใครบ้าง ทำให้ล่าสุดเพื่อไทยต้องออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่าจะไม่จับมือกับพรรคใดในการจัดตั้งรัฐบาลก่อนจะทราบผลการเลือกตั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลังการเลือกตั้งจะไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นหรือไม่? ซึ่งในความเป็นจริงก็ต้องจับตาดูสถานการณ์ต่อไป
ในตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า การโยกย้ายสังกัดของ สส. ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น และเมื่อทุกอย่างยังไม่จบ อะไรๆก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ถึงแม้จะมีกระแสข่าวสส.ตัดสินใจโบกมือลาต้นสังกัดเดิม และเก็บข้าวของเข้าสู่ต้นสังกัดใหม่ไปแล้ว แต่เมื่อยังไม่ยุบสภาฯ อะไรก็เกิดขึ้นได้ จับตาดูเดือนแรกของปีนี้ไว้ให้ดี แต่อย่างไรเสียทุกคนก็ตกปลาในอ่างเดิม เพราะจนบัดนี้ก็ยังไม่พบการปรากฏตัวของนักการเมืองหน้าใหม่ก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง ไม่ว่าฝั่งใดก็ตาม หรือไม่มีใครใหม่ๆ ที่อยากเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองอีกแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น การเมืองไทยจะดึงศรัทธาประชาชนและนำพาประเทศให้พัฒนากว่าที่เป็นอยู่ ได้อย่างไร?
“ฟ้าดินกว้างใหญ่มีความประหลาดมากมายเหลือรำพันเรื่องประหลาด
แม้ท่านจะมีอายุถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแปดปี ก็ไม่มีวันเห็นหมดสิ้น”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี