เมื่อวันที่ 23 มกราคม มีความคืบหน้ากรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือแบม ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ซึ่งถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง เพราะยื่นเรื่องขอถอนประกันตนเอง และเริ่มอดอาหารและน้ำตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา
ภายหลังเดินทางไปถอนประกันตนเองที่ศาลอาญาเมื่อวันที่ 16 ม.ค. พร้อมทั้งประกาศข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 2.ยุติคดีการเมืองกับประชาชน 3.ทุกพรรคการเมืองต้องเสนอให้ยกเลิกม.112 และ ม.116
โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนโพสต์ทวิตเตอร์ระบุความคืบหน้าอาการของ น.ส.ทานตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ว่า “เมื่อคืนที่ผ่านมาตะวันอ่อนเพลียจนหมดสติในห้องน้ำ ล้มหัวกระแทกพื้น แต่ปฏิเสธที่จะตรวจด้วยการสแกนทั้งสองปากแห้งมากจนขาวซีด อิดโรย นอนหลับยาก ตะวันน้ำหนักลดไปเกือบ 5 กก. ส่วนแบมลดไป 6 กก.แล้ว
ตะวันแบม แสดงเจตจำนงว่าไม่อยากถูกบังคับให้อยู่ รพ.ราชทัณฑ์อีกต่อไป โดยพวกเธอต้องการให้พาตัวกลับไปที่ทัณฑสถานหญิงกลาง หรือสถานรักษาพยาบาลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์ เนื่องจากทั้งสองกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลที่ออกมาจาก รพ.ราชทัณฑ์จะไม่ตรงกับความเป็นจริง ระหว่างการสนทนาทั้งสองนั่งทรงตัวลำบาก ต้องเอนพิงกันไปมาเพื่อให้นั่งอยู่ได้ ตะวันซบไหล่แบม ส่วนแบมเอาหัวซบหัวตะวันอีกที ตลอดการสนทนาทั้งสองจะใช้เจลประคบเย็นประคบตามหน้าผาก ต้นคอ ใบหน้า เพื่อให้รู้สึกตื่นตัวและพูดคุยกับทนายความได้ ทั้งนี้ ตะวันแบมยังคงยืนยันอดอาหารและน้ำต่อไป”
ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ทวีตข้อความระบุว่า “วันนี้ผมจะไปยืน หยุด ขัง” ซึ่งทำเอาบรรดาแนวร่วมกลุ่ม 3 นิ้วเข้ามาคอมเมนท์ด้วยความดีใจ ที่วันนี้นายธนาธรออกตัวมาช่วยตะวัน-แบมที่อยู่ในเรือนจำ ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ก็ทวีตข้อความเช่นกันว่า “วันนี้จะไปยืนหยุดขังค่ะ”
ต่อมาเมื่อเวลา 18.00 น. ที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วย สส.พรรคก้าวไกล นายธนาธร และ น.ส.พรรณิการ์ ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง 112 ชั่วโมง” ที่จัดโดยกลุ่มทะลุฟ้าและแนวร่วม เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ขณะนี้
โดยบรรยากาศกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง 112 ชั่วโมง” กลุ่มผู้ชุมนุมมีการนำป้ายข้อความต่างๆ มาแสดงจุดยืน
เรียกร้องให้ปล่อยผู้ต้องหาคดี ม.112 พร้อมแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว รวมถึงมีการนำดอกทานตะวันมาตั้งบริเวณลานหน้าหอศิลป์ พร้อมมีข้อเรียกร้องคือ ต้องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ยุติการดำเนินคดีความกับประชาชน และพรรคการเมืองทุกพรรคที่เสนอนโยบาย ยกเลิกมาตรา 112 และ 116
1) ก่อนหน้านั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
“เรื่องของตะวันและแบม คือเรื่องของทุกคนการเรียกร้องสิทธิให้ผู้ต้องหา 112 คือการยืนยันสิทธิของคนไทยทุกคน
ผมเฝ้าติดตามข่าวการถอนประกันตัวเองที่ศาลอาญา ต่อด้วยการประท้วงอดอาหารและน้ำของตะวันและแบม ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ผมเป็นห่วงสุขภาพของทั้งคู่ แต่ก็ตระหนักดีว่านี่คือการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของพวกเขา ที่จะต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
ข้อเรียกร้องที่ทั้งสองคนใช้ร่างกายและชีวิตเป็นเดิมพัน คือ “ตะวัน-แบม” ประกาศผ่านห้องขัง การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ฝากบอกข้างนอกว่า ลุย!
1. ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ศาลต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพในการแสดงออก ต้องเป็นอิสระ ปราศจากอำนาจนำ และผู้บริหารศาลต้องไม่แทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดี
2. ยุติการดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุม และการแสดงออกทางการเมือง
3. พรรคการเมืองทุกๆ พรรคต้องเสนอนโยบายเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการยกเลิก ม.112 และ ม.116
ผมสนับสนุนข้อเสนอทั้งสามข้อ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งที่ในประเทศไทย ตะวัน และแบม ต้องใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเครื่องมือต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้สิทธิพื้นฐานเหล่านี้
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่า คือคนจำนวนมากคิดว่านี่เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน เป็นเรื่องของคนที่ “หาเรื่องใส่ตัว” ถ้าอยู่เฉยๆก็คงไม่เดือดร้อน ไม่ต้องติดคุกติดตะราง เสียอนาคต
ผมขอยืนยันว่า การเรียกร้องกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเสมอภาคกัน ไม่ใช่เรื่องของคนไม่กี่คน แต่เป็นเรื่องพื้นฐานที่คนไทยทุกคนต้องได้รับ สิทธิในการประกันตัว และได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครหน้าไหนต้องได้รับ โดยไม่จำเป็นต้องเรียกร้องต่อสู้ เช่นเดียวกับสิทธิในการมีน้ำประปาสะอาดใช้ หรือได้นั่งรถเมล์ที่ปลอดภัยและราคาถูก
วันนี้ ผมขอยืนหยัดเคียงข้างตะวันและแบม นี่ไม่ใช่การยืนหยัดเพื่อตะวันและแบม หรือผู้ต้องหาคดีการเมืองเท่านั้น แต่คือการยืนหยัดเพื่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน
อย่ารอจนกว่าจะถึงวันที่ลูกหลานของเราต้องรณรงค์ประท้วงด้วยชีวิตของพวกเขา จึงค่อยตระหนักว่ากระบวนการยุติธรรมที่เที่ยงธรรม สำคัญต่อเราแค่ไหน
2) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ คดีการเมือง หรือไม่ ? ความว่า มีบุคคลบางคน กล่าวถึงคดีการเมืองอยู่เสมอ ว่า คดีเหล่านั้น คดีเหล่านี้ เป็นคดีการเมือง แล้ว “คดีการเมือง” คือคดีอะไร? ไม่มีคำจำกัดความที่แน่นอนครับ แต่พออธิบายได้ว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง เช่น จากประชาธิปไตย ให้เป็นคอมมิวนิสต์ หรือการเป็นกบฏ อย่างนี้ ถือเป็นคดีการเมือง
คดีความผิดต่อพระมหากษัตริย์ เป็นคดีการเมืองหรือไม่ ผมว่า แยกเป็น 2 กรณี
1.คดีที่ต้องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถือเป็นคดีการเมืองได้
2.คดีดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ไม่ถือเป็นคดีการเมือง
เปรียบเหมือน สมัยสงครามเย็น หากมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ถือเป็นคดีการเมืองได้ แต่หากไปทำร้ายหรือประทุษร้ายต่อคนที่เป็นคอมมิวนิสต์ ถือว่า เป็นคดีทั่วไปที่กระทำต่อบุคคลธรรมดา
เมืองไทยที่เป็นอยู่ ผมยังไม่เห็นมีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีแต่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่คดีการเมือง การเรียกร้องให้คดีตามม.112 เป็นคดีการเมือง จึงเป็นการหลงผิด หรือ แกล้งหลงผิดหากใครเชื่ออย่างนั้นก็จะตกเป็นเหยื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ต่อมา นายนิพิฏฐ์ได้โพสต์เฟซบุ๊กอีก ในหัวข้อ “อย่าทำการเมืองให้เป็นลัทธิประหลาด และสถาปนาตัวเองเป็นศาสดา” โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผมติดตามข่าวจำเลยหญิง 2 คน ในคดีอาญา ม.112 ขอถอนประกันตัวเอง เข้าเรือนจำ และประท้วงอดข้าว-อดน้ำ เรียกร้อง 3 ข้อ รวมทั้งให้ยกเลิก ม.112, 116 การประท้วงอดข้าว-อดน้ำ ในประวัติศาสตร์โลกมีมาตลอด ทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ที่ประสบความสำเร็จเพราะเป็นอารมณ์ร่วมของคนในสังคม และสื่อให้ความสนใจ สำหรับในเมืองไทย การอดข้าวประท้วง เพื่อให้ยกเลิกก.ม.
ไม่เคยประสบความสำเร็จเพราะการยกเลิก แก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมายใดๆ เป็นอำนาจ-หน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา มิใช่จะสำเร็จด้วยการประท้วง ยิ่งการขอยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับความเชื่อสูงสุดของคนในสังคม ยากที่จะประสบความสำเร็จ
ความเห็นต่างทางการเมืองเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย แต่การกดดันผู้อื่นปฏิบัติตามความเห็นของตน โดยใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันนั้น มองอย่างไรก็มิใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตย แต่เป็นอัตตาธิปไตย ที่ถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ และ เป็นความคิดแบบเผด็จการเสียด้วยซ้ำ
อย่าทำให้การเมืองกลายเป็น “ลัทธิประหลาด” และทำตัวเองให้เป็น “สาวก” ของลัทธิประหลาดนั้น ใครเป็นศาสดาของลัทธินี้ ก็ขอให้ห้ามสาวกของท่านเสียเถอะ อย่าให้เขาพลีชีพด้วยการอดข้าว-อดน้ำเลย บาปกรรมเปล่าๆ
3) ด้าน โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ถึงกรณีนี้ ว่า “เมื่อคนข้างนอกไม่มีใครสนใจจะดำเนินการเข้าชื่อโดยใช้เสียงจำนวนมากของผู้สนับสนุน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองคนทบทวนวิธีการและออกมาเคลื่อนไหวกับพวกเขาข้างนอก สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปตามสเต็ปก็คือ อาการแย่ลงเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภาวะวิกฤต ถ้าโรงพยาบาลฝืนความต้องการผู้ป่วย ก็รักษา ถ้าโรงพยาบาลเคารพสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงเจตจำนงไว้ว่าห้ามรักษา ก็ไม่รักษา
ระหว่างนั้นจะมีความเคลื่อนไหวประปราย แสดงการสนับสนุนข้อเรียกร้องสามข้อที่ทั้งสองขีดเส้นตายต้องทำในสามวันคือ ปฏิรูปศาล ยุติการดำเนินคดีนักกิจกรรมทั้งหมด และพรรคการเมืองทุกพรรคต้องเสนอนโยบายยกเลิก ม.112 และ 116
เมื่อร่างกายทนไม่ไหว อาจถึงแก่ชีวิต คำว่า “เลือดต้องแลกด้วยเลือด” ที่ทั้งสองพูดไว้ตอนประกาศเจตจำนงก่อนถอนประกันตัวเอง จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นธงนำการเคลื่อนไหว อาจมีบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวโดยใช้ความรุนแรง ฝ่ายความมั่นคงจัดการสถานการณ์ไปแบบผิดบ้างถูกบ้างพรรคการเมืองเพิ่งตั้งใหม่ ที่หาเสียงโดยชูประเด็นความมั่นคงแล้วไม่มีใครอินด้วยก่อนหน้านี้ หยิบสถานการณ์ไปใช้หาเสียงเป็นประเด็นหลักได้ต่อ อีกพรรคขั้วตรงข้าม นำสิ่งที่เกิดขึ้น ไปเป็นหนึ่งประเด็นรองในการหาเสียงเช่นกัน คนที่เหลือไปเลือกตั้งนี่คือการวิคราะห์สถานการณ์การเมือง No drama นะคะ
สรุป : น่าคิดว่า ลัทธิอัตตาธิปไตย เรียกร้องเอาแต่ใจ ที่ถูกผลักดัน เคลื่อนไหว ขยายผลในช่วง“ใกล้เลือกตั้ง” เช่นนี้ เป็นการ “เปิดตลาดหาคะแนน”ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือไม่?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี