การที่นิสิตหญิงรายหนึ่งซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่สอง คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จงใจนำพระเกี้ยววางบนหมอนสีชมพู แล้ววางบนพาน (พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ไปวางบนขั้นบันไดในคณะศิลปกรรมฯ จุฬาฯ โดยการวางนั้นจงใจแสดงให้เห็นถึงความไม่เคารพต่อตราสัญลักษณ์ เพราะนอกจากวางในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังจงใจนำอาหารสุนัข พร้อมกับซองของอาหารสุนัขวางประกอบในลักษณะเหมือนจงใจเสียดสี เยาะเย้ย ขณะเดียวกัน ก็นำเอกสารหลายแผ่น โดยเอกสารเหล่านั้นมีตราพระเกี้ยวประทับอยู่บนด้านบนของหัวกระดาษวางไว้ใต้พระเกี้ยวบ้าง วางอยู่บริเวณใกล้ๆ พระเกี้ยวบ้าง แล้วโปรยอาหารสุนัขไว้บนเอกสาร รวมถึงโปรยบนพระเกี้ยวและหมอนรองอีกด้วย
ถามว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องเหมาะสม สมควรหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการกระทำของนิสิตที่กำลังศึกษาอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทำการในเขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัย
ประเด็นต่อมาคือ มีคำถามว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการทำเพื่อประกอบการเรียน ใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดอาจารย์เจ้าของวิชาจึงอนุญาตให้กระทำการอันไม่บังควรเช่นนี้ได้อาจารย์ผู้สอนไม่มีความรู้ถึงความเหมาะความควร ในการแสดงออกต่อตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยบ้างเลย กระนั้นหรือ หรือว่าการกระทำครั้งนี้อยู่ภายใต้คำสั่งการของอาจารย์เจ้าของวิชาประเด็นนี้ เมื่อดูจาก facebook ของนิสิตผู้ก่อเหตุ สามารถระบุได้ว่าเป็นการทำงานเพื่อส่งอาจารย์ โดยมีข้อความว่า #ผลงานชิ้นนี้้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเรียน แล้วเมื่อยิ่งอ่านข้อความใน facebook นี้ทั้งหมด ก็สามารถพบได้ว่า เจ้าของงานชิ้นนี้มองว่าจุฬาฯ ไม่ได้รับใช้ประชาชน แต่รับใช้ผู้มีอำนาจและนายทุน ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีใครห้ามนิสิตคิดและวิจารณ์ แต่คำถามคือแล้วทำไมต้องใช้พระเกี้ยวเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วทำไมต้องโปรยอาหารสุนัขบนพระเกี้ยว หรือว่านิสิตผู้นี้ซื้ออาหารสุนัขมาเพื่อแบ่งกันกินกับผู้คุมงานชิ้นนี้ แต่ทว่า กินไม่หมด จึงทำหกเลอะเทอะบนพระเกี้ยว
การเป็นนิสิต อาจารย์ และบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำเป็นต้องรู้ว่าพระเกี้ยวมีความสำคัญอย่างไร และยังจำเป็นต้องรู้ด้วยว่าเหตุใดมหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงใช้ตราพระเกี้ยว เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังต้องรู้ด้วยว่าตราพระเกี้ยวมีความเกี้ยวข้องใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานต้นกำเนิดของโรงเรียนจนพัฒนาไปสู่การเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดังนั้นการกระทำใดๆ ต่อตราพระเกี้ยวจึงจำเป็นต้องกระทำด้วยความเคารพ เพราะพระเกี้ยวเป็นเสมือนตัวแทนของในหลวง รัชกาลที่ 5 และยังเป็นเสมือนตัวแทนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย
นิสิตก็คือปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีคุณสมบัติประการสำคัญคือรู้กาลเทศะ รู้ที่ต่ำที่สูง รู้ความเหมาะความควร หากปราศจากคุณสมบัติประการสำคัญดังกล่าวมาแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นปัญญาชน แม้จะสวมใส่ชุดนิสิตก็ตาม
ปัญญาชนต้องมีความเคารพต่อสิ่งที่ควรเคารพ ต้องรู้และระลึกตัวอยู่เสมอว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อทั้งตัวเองและต่อสังคม และต้องหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ก็ตามที่ก่อให้เกิดผลลบ ผลร้ายต่อสาธารณะ ดังนั้นปัญญาชนจึงต้องมีคุณธรรมสูง มีจิตใจสูง และรู้ที่ต่ำที่สูง รู้กาลเทศะ รู้ความเหมาะความควร อีกทั้งต้องยับยั้งชั่งใจมิให้กระทำในสิ่งผิด สิ่งเลว สิ่งชั่วช้า แต่จะกระทำเฉพาะสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อสาธารณะเท่านั้น
แน่นอนว่า ปัญญาชนต้องสนใจและแสวงหาศิลปวิทยาการต่างๆ นานาโดยไม่หยุดยั้ง ต้องมีสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตต้องประเมิน วิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ อันเกิดจากการกระทำของตนเองได้ อีกทั้งยังต้องมีจิตสาธารณะ (public spirit) และต้องดำเนินชีวิตโดยไม่เบียดเบียนสังคม ไม่บ่อนทำลายสังคมไม่ใช้ความรู้ที่มีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบให้ตนเอง แล้วสร้างปัญหาให้สังคมโดยปราศจากความรับผิดชอบ
ในบทความนี้จะไม่กล่าวถึงชื่อ นามสกุล ของนิสิตหญิงรายหนึ่งที่ก่อเหตุอันน่าบัดสี ซึ่งสังคมได้รับทราบเป็นอย่างดีแล้วในขณะนี้ และจะไม่พูดถึงชื่อ นามสกุลของบุคคลต่างๆ ในครอบครัวของคนคนนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้สังคมได้จดจำชื่อเสียงของคนที่ทำเรื่องบัดสีขึ้นมา
ทั้งนี้ อาจจะมีบางคนถามว่า การกระทำอันบัดสีของนิสิตหญิงรายนี้ เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนในครอบครัวของเธอ ก็ขอตอบสั้นๆ ว่า เคยได้ยินคำว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือไม่ขออนุญาตกล่าวเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือขอให้ไปคิดเอาเองตามระดับสติปัญญา และระดับของความละอายที่แต่ละปัจเจกพึงมี
อย่างไรก็ตาม มีผู้ถามว่า การก่อเหตุบัดสีครั้งนี้ คณบดี คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (บุษกร บิณฑสันต์)มีปฏิกิริยาประการใดบ้าง มีความพยายามเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ มีการเรียกประชุมหารือภายในคณะบ้างหรือไม่ หรือว่าไม่ให้ความสนอกสนใจใดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็มีคำถามทำนองเดียวกันไปยังอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (บัณฑิต เอื้ออาภรณ์) ว่ามีปฏิกิริยาประการใดบ้างกับปรากฏการณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ครั้งนี้
พร้อมกันนี้ก็มีผู้สืบค้นหาว่านิสิตหญิง ชั้นปีที่สอง รายนี้ชื่อเรียงเสียงใด จบมัธยมศึกษามาจากโรงเรียนไหน ก่อนจะเข้ามาศึกษาคณะศิลปกรรมฯ จุฬาฯ เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยใดมาก่อน พฤติกรรมส่วนตัวเป็นเช่นไร พ่อแม่เป็นใคร ทำอาชีพอะไร สิ่งเหล่านี้อาจมีปรากฏบ้างแล้วในสื่อฯ ออนไลน์ และสื่อฯ กระแสหลักบางสำนัก แต่ทว่า บทความนี้ยังยืนยันว่าไม่ต้องการนำชื่อ นามสกุลของนิสิตรายนี้มาเผยแพร่ เพราะไม่เป็นประโยชน์ใดต่อสาธารณะ แต่ที่กำลังค้นหาก็คือ ใครคืออาจารย์ผู้ควบคุมงานชิ้นนี้
คำถามสำคัญที่สาธารณชนผู้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนิสิตหญิงรายนี้คือ ทำไมอาจารย์จึงอนุญาตให้นิสิตทำงานนี้ แล้วที่สำคัญคือ อาจารย์ไม่รู้หรือว่าพระเกี้ยวมีความสำคัญอย่างไรกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถามย้ำว่า อาจารย์ที่สอนวิชาแล้วเป็นผู้ควบคุมงานชิ้นนี้ของนิสิต ไม่มีความสำเหนียกรู้บ้างเลยหรือว่า พระเกี่ยวสำคัญอย่างไรกับจุฬาฯ
แล้วต้องยืนยันว่า การกระทำครั้งนี้เกิดขึ้นภายในคณะศิลปกรรมฯ จุฬาฯ ดังนั้น ผู้บริหารคณะศิลปกรรมฯ จะอ้างว่าไม่รับรู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะพื้นที่ของคณะฯ ย่อมต้องอยู่ในการรับรู้ และความรับผิดชอบของคณบดีโดยไม่มีข้อปฏิเสธ ส่วนนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น ก็นิ่งเฉย ราวกับไม่รู้สึกรู้สม ทำตัวราวกับพระอิฐพระปูน เป็นเสมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น รู้แค่เพียงว่าตนเองมีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ เท่านั้น เรื่องอื่นๆ ที่บัดซบบัดสีสารพัดสารพันในจุฬาฯ ไม่เคยให้ความสนใจ ไม่เคยเรียกประชุมสมาชิกสมาคมฯ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา
หากจะมีผู้อ้างว่าจะเอาอะไรมากมายกับสิ่งสมมุติพระเกี้ยวก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น ไม่ใช่ตัวจริงของพระมหากษัตริย์ หากมีผู้อ้างเช่นนี้ก็ต้องถามกลับว่า หากเช่นนั้น ทำไมไม่นำภาพพ่อแม่ ปู่ยาตายาย หรือคนในต้นตระกูลของผู้อ้างมากระทำการดังกล่าวบ้าง แล้วถ้าหากมีผู้ใดผู้หนึ่งนำภาพพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษของผู้แสดงพฤติกรรมและการแสดงอันไม่สมควรเช่นนี้ไปใช้ โดยอ้างว่าเป็นเพียงการแสดงงานศิลปะเท่านั้น คำถามคือ ญาติพี่น้องวงศ์วานว่านเครือของบุคคลผู้นั้นจะยอมรับได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า หลังจากมีภาพความไม่เหมาะสมนี้ปรากฏต่อสังคม และที่สำคัญคือทำให้เกิดความไม่สบายใจ ไม่พอใจ และไม่ยอมรับสิ่งนี้โดยคนในสังคมจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะบรรดานิสิตเก่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาใดๆ จากผู้บริหารจุฬาฯ แสดงความรับผิดชอบให้สาธารณชนได้พบเห็นแม้แต่น้อย คณบดีคณะศิลปกรรมฯ จุฬาฯ นิ่งเงียบ ราวกับไม่สนอกสนใจเรื่องบัดสีที่เกิดในคณะที่ตนเองรับผิดชอบ ส่วนอธิการบดี จุฬาฯ ก็ไม่เคยแสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อเรื่องราวที่แสนบัดสีที่เกิดขึ้นในจุฬาฯ อย่างซ้ำๆ ซากๆ เป็นประจำตลอดเวลา
คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงรายละเอียดซ้ำๆ อีกต่อไปเพราะในข้อเท็จจริงนั้น ได้เกิดเรื่องบัดสีในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในช่วงเวลา 3-4 ปีนี้บ่อยมาก จนอาจเรียกได้ว่าเกิดขึ้นเป็นประจำ อาทิ เรื่องนิสิตหญิงคนหนึ่งจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ จงใจชักธงดำขึ้นยอดเสาธงของจุฬาฯ ที่หน้าหอประชุม เรื่องวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ฉบับหนึ่งจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มีปัญหาเรื่องการอ้างข้อความอันเป็นเท็จ เรื่องสโมสรนิสิตจุฬาฯ จงใจกระทำเรื่องบัดสีสารพัดประเด็น เป็นต้น
เรื่องบัดสีทั้งหมดทุกเรื่องกลายเป็นข่าวครึกโครมอื้อฉาวในหมู่สาธารณชน แต่ทว่าผู้บริหารจุฬาฯ เงียบเฉย ไม่เคยแก้ปัญหาให้ลุล่วง ไม่เคยบอกกล่าวสังคมว่าได้กระทำการใดเพื่อระงับยับยั้งปัญหา อีกทั้งไม่มีการลงโทษผู้จงใจกระทำผิดกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย แต่กลับปล่อยให้เรื่องเลวทรามเกิดอย่างซ้ำซากในจุฬาฯ ราวกับว่าต้องการจะทำสถิติว่าตนเองเป็นผู้บริหารจุฬาฯ ในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องเลวร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของจุฬาฯ
ต้องบอกและย้ำอีกครั้งว่า ตราพระเกี้ยวมิได้เกี่ยวข้องเฉพาะแค่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษาอื่นๆ อีกหลายแห่ง อาทิ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และโรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษาอีกหลายแห่ง รวมถึงโรงเรียนหอวัง โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดังนั้นการกระทำการอันไม่ให้เกียรติต่อพระเกี้ยว คือการแสดงความไม่เคารพสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่ใช้ตราพระเกี้ยวโดยปริยาย ซึ่งเท่าที่ทราบคือมีนักเรียนเก่า และนักเรียนปัจจุบันในบางโรงเรียนตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงแสดงอาการเหยียดหยามต่อพระเกี้ยว ซึ่งก็เท่ากับไม่ให้เกียรติโรงเรียนเหล่านั้นด้วย
หากจะอ้างว่านี่คืองานศิลปะ ก็มีคำถามว่า ศิลปะที่แท้จริงคืออะไร งานที่แสดงออกถึงความต่ำทราม ไร้รสนิยม จงใจเหยียดหยามสิ่งที่ผู้อื่นอีกมากมายให้ความเคารพนับถือ คืองานศิลปะ กระนั้นหรือ
การกระทำที่ต่ำช้าเช่นนี้ ไม่ใช่งานศิลปะอย่างแน่นอน แต่ที่มากกว่านั้นคือ มันเป็นการแสดงออกถึงความต่ำทรามในจิตใจของผู้แสดงความบัดสีเช่นนี้ออกมา
นิสิต อาจารย์ และบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือผู้ที่สังคมให้การยกย่องว่าเป็นปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ควรแสดงความหยาบช้า ต่ำทราม ไม่รู้กาลเทศะ ไร้การรู้ที่ต่ำที่สูง เรื่องแบบนี้ล้วนเกิดมาจากการอบรมเลี้ยงดูและสั่งสอนจากที่บ้านเป็นสำคัญ หากที่บ้านไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้เสียแล้ว ต่อให้สวมชุดนิสิต หรือสวมครุยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือต่อให้เป็นผู้บริหารจุฬาฯ หรือเป็นคนสอนหนังสือในจุฬาฯ ก็ไม่สามารถเป็นปัญญาชนที่แท้จริงได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี