เมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา มีข้อมูลจากกรมศิลปากร ที่ได้เปิดเผยในการประชุมหารือการอนุรักษ์โครงสร้างโบราณสถานด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยการเชื่อมโยงการทำงานแบบบูรณาการ เมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา ระบุว่า “มีพื้นที่สำรวจพบโบราณสถาน 7,000-8,000 แห่ง แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขต” ซึ่งจะต้องผลักดันให้ขึ้นทะเบียนมากขึ้นเพื่อประโยชน์ในการปกป้องคุ้มครอง และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือสมัยใหม่ในการสำรวจ
การประชุมดังกล่าวเป็นความร่วมมือกันระหว่างกรมศิลปากร กับ กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หารือแนวทางการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย หน่วยงานเจ้าภาพในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการสืบค้นและบูรณะโบราณสถานให้ยั่งยืนต่อไป โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้
รวมทั้งการจัดทำระบบเตือนภัยโบราณสถานในด้านต่างๆ เพื่อวางแผนเสริมกำลังโครงสร้างโบราณสถานได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนการถ่ายโอนความรู้ที่เกิดจากการทำงานร่วมกันเป็นโครงการนำร่องระหว่างนักวิจัยและกรมศิลปากร รวมถึงการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น มูลนิธินายช่างไทยใจอาสา ซึ่งมีสมาชิกจากสภาสถาปนิก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เพื่อระดมผู้มีความรู้ทางเทคนิคทั้งวิศวกรและนายช่างเพื่อร่วมกันอนุรักษ์โบราณสถาน
ศ.ดร.นคร ภู่วโรดม หัวหน้าชุดโครงการอนุรักษ์โบราณสถานด้วยหลักวิศวกรรม กล่าวว่า โครงการวิจัยที่ผ่านมาได้บันทึกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างโบราณสถานได้อย่างถูกต้อง เพื่อจัดทำข้อมูลดิจิทัลและนำไปประยุกต์หาความมั่นคง รวมถึงการวิเคราะห์โครงสร้างด้วยเทคนิคขั้นสูงที่พร้อมถ่ายทอดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีพื้นที่วิจัยประกอบด้วย อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ และอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
นอกจากนี้ยังได้ติดตามสภาพของโบราณสถานเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการบูรณะ และฐานข้อมูลวัสดุเชิงวิศวกรรมทั้งวัสดุโบราณและวัสดุสมัยใหม่เพื่อเสริมกำลังและบูรณะซ่อมแซม ตลอดจนการสำรวจธรณีฟิสิกส์เพื่อศึกษาความมั่นคงของโบราณสถานและสนับสนุนการสืบค้นทางโบราณคดี ขณะที่ รศ.ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรม ภูมิทัศน์วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ปัจจุบันได้สำรวจมรดกทางสถาปัตยกรรมที่อยู่ในภาวะเสี่ยงและจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกียวโต รวมทั้งการสำรวจมรดกสถาปัตยกรรมของประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้าน พนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ในส่วนของกรมศิลปากรมีศูนย์เทคโนโลยีของกรมมีชุดข้อมูลโบราณสถาน ทั้งประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวและน้ำท่วม การจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับทะเบียนโบราณสถาน การซ่อมบำรุง ซึ่งมีลำดับชั้นในการเข้าถึงข้อมูล ทั้งนี้ กรมศิลปากรอาจชี้เป้าโบราณสถานที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติต่างๆ เพื่อร่วมกันสำรวจข้อมูล และราคาวัสดุที่ใช้ในการบูรณะตามหลักวิศวกรรม รวมถึงการแจ้งเตือนภัยพิบัติเพื่อเฝ้าระวังในพื้นที่ต่างๆ
“กรมศิลปากรสามารถใช้ฐานข้อมูลที่นักวิจัยศึกษาไว้แล้วไปใช้ประโยชน์โดยเฉพาะโบราณสถานที่มีความเสี่ยงและได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ การจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน การศึกษานวัตกรรมร่วมกันเพื่อเตือนภัยและเฝ้าระวังโบราณสถานรวมถึงการจัดผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรที่พร้อมสนับสนุนงานของกรมศิลปากร” อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว
อธิบดีกรมศิลปากรยังกล่าวอีกว่า หากองค์ความรู้หรือนวัตกรรมของนักวิจัยประกอบกับฐานข้อมูลจะช่วยให้งานของกรมศิลปากรดำเนินการได้เร็วขึ้นก็จะเป็นการดี และหาความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของโบราณสถานที่แท้จริง เป็นการรวมกันเพื่อเข้มแข็ง และใช้งบประมาณในการทำวิจัยอย่างคุ้มค่า โดยอยากให้จัดประชุมร่วมกันเพื่อหาโครงการที่เหมาะสมร่วมกันต่อไป!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี