พรรคเพื่อไทย จัดงาน “คิดใหญ่ ทำเป็นเพื่อไทยทุกคน” เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสส. แถลงนโยบายเศรษฐกิจและสังคมลอตใหม่ที่ใช้ในการเลือกตั้ง โชว์ตัวอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
บนเวทีมีการใช้วาทกรรมขายฝัน บิดเบือนข้อเท็จจริงโจมตีให้ร้ายทางการเมือง เพื่อหวังชิงอำนาจรัฐ
1. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร) เปิดนโยบายพรรคเพื่อไทยหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่จะต้องใช้เงินงบประมาณมหาศาล แต่ยังไม่ระบุวิธีการและยอดเงินที่จะต้องใช้ โดยยืนยันแต่เพียงว่า “พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่รักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศที่ยั่งยืนและมั่นคง”
ส่วนนายเศรษฐายอมรับว่า นโยบายของพรรคจะต้องใช้เงินอัดฉีดครั้งมโหฬาร
น่าคิดว่า พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่รักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศที่ยั่งยืนและมั่นคง จริงหรือไม่
สมัยรัฐบาลทักษิณคิด เพื่อไทยทำ มีการดำเนินนโยบายทำลายล้างวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างไรบ้าง ลืมไปแล้วหรือ
ยกตัวอย่าง
1.1 ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดรัฐธรรมนูญ นั่นก็เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า เป็นการทำลายวินัยการการเงินการคลังแผ่นดินอย่างร้ายแรง
ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ว่า เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทเป็นเงินแผ่นดิน การใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องได้รับอนุญาตจากกฎหมาย 4 ฉบับ ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายว่าด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ยกเว้นกรณีจำเป็นเร่งด่วน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โครงการลงทุนที่บรรจุในแผนการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทหลายโครงการยังไม่มีการศึกษาความคุ้มค่า ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ผ่านการพิจารณามาตามขั้นตอน และเป็นโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทกำหนดให้รัฐบาลสามารถนำเงินกู้ไปใช้จ่ายโดยไม่ต้องนำเงินส่งคลัง แตกต่างจาก พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ทำให้การควบคุมการใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการจะซิกแซกกู้เงินเอามาทำโครงการ โดยไม่ผ่านกลไกตรวจสอบงบประมาณแผ่นดินปกติ นำเอาโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มาล่อตาล่อใจ โดยที่หลายโครงการ ยังไม่มีผลการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจการลงทุน หรือผลกระทบสิ่งแวดล้อมอะไรเลยด้วยซ้ำ
ออกกฎหมายที่เป็นกุญแจเปิดทางให้กู้เงินมาทำ โดยเปิดช่องเสี่ยงทุจริต ยกเว้นให้รัฐบาลนำเงินกู้มหาศาล 2 ล้านล้านไปใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องนำเงินส่งคลัง แตกต่างจากเงินแผ่นดินทั่วไป
เท่ากับว่า ฝ่ายการเมืองแบ่งแยกเอางบลงทุน แยกออกจากงบประมาณแผ่นดิน
ไม่ต้องผ่านขั้นตอนกลั่นกรอง ตรวจสอบ ความเหมาะสมคุ้มค่า ความโปร่งใส และวงเงินแต่ละโครงการ เพราะฝ่ายการเมืองจะกำหนดการจ่ายเงินกันเองแบบบุฟเฟ่ต์ ทำลายวินัยการเงินการคลัง ขัดรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ มาตรา 169
ดังนั้น เหตุที่กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกไป ไม่ใช่เพราะเรื่องถนนลูกรังยังไม่หมดไป ตามที่พยายามจะบิดเบือนแถไถกันแบบข้างๆ คูๆ แต่เพราะทำลายวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างชัดแจ้ง
ปัจจุบัน จะเห็นว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากมายสามารถดำเนินการได้จริง โดยไม่ต้องออกกฎหมายกู้เงินแยกออกมาเช่นนั้น และยังถูกทักท้วง ตรวจสอบ ได้ตามปกติอีกด้วย
1.2 โครงการจำนำข้าว คือ อภิมหาโครงการทำลายวินัยการเงินการคลัง เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทย
ใช้วิธีการกึ่งการคลัง โดยบังคับเอาเงินธนาคารของรัฐออกมาใช้ก่อน ยอดรวมนับล้านล้านบาท
ทิ้งภาระหนี้สินไว้แก่ประเทศชาติ 3 แสนกว่าล้านบาท
เลวร้ายที่สุด คือ ปล่อยให้มีการทุจริตโกงกิน ติดคุกกันทั้งระดับรัฐมนตรี ข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจ
ตัวนายกฯ หนีคดี หนีคำพิพากษา ทิ้งให้ลูกน้องติดคุกระนาว
ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ กัลยาณมิตรของพรรคเพื่อไทยเอง เคยเตือนไว้แล้วว่า โครงการจำนำข้าวเปิดช่องคอร์รัปชั่น ทำลายโครงสร้างตลาด รัฐบาลเสียเงินมากมายอันตรายที่สุด อาจล้มไปเลย
2. นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ใช้วาทกรรมหาเสียง ขายฝัน บอกว่า 8 ปีประเทศถดถอย เศรษฐกิจตกต่ำ จะต้องกู้เศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ คนไทยอายุ 16 ปี ขึ้นไปจะได้รับเงินดิจิทัลเข้ากระเป๋า แต่ตัวเลขขออุบไว้ก่อน โดยเหรียญดังกล่าวจะสามารถใช้ได้ในร้านค้าที่มีรัศมี 4 กิโลเมตรจากบ้านพัก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน โดยเหรียญดังกล่าวจะมีอายุใช้งาน 6 เดือน
“ผมขอประกาศเลยว่า ภายใต้รัฐบาลเพื่อไทย เราจะไม่สนับสนุนการจัดวงสังคม ที่อภิสิทธิ์ชน นักบริหาร ข้าราชการเอื้อประโยชน์กันเอง ทำให้นโยบาย กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมถูกบิดพลิ้ว เราจะปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายกระบวนการยุติธรรม นำศักดิ์ศรีที่ถูกย่ำยีจากผู้ใช้อำนาจในทางที่ผิดคืนให้ประชาชนอย่างแท้จริง ผมอยากเห็นสังคมเส้นสาย สังคมเลือกปฏิบัติ สังคมไม่เสมอภาคหมดไป” นายเศรษฐา กล่าว
2.1 บนเวทีหาเสียงช่วงหนึ่ง ผู้สื่อข่าวต่างชาติถามว่า การที่ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำภาพความเป็นพรรคของครอบครัวชินวัตร?
น.ส.แพทองธารตัดบทตัวเอง ส่งไมโครโฟนให้นายเศรษฐา เป็นผู้ตอบคำถามแทน
โดยนายเศรษฐาได้ผายมือไปยังที่นั่งของคณะผู้บริหารพรรค และผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง สส. ก่อนกล่าวยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว บุคลากรของพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมมีความรู้ความสามารถ…
สิ่งที่เกิดขึ้น อาจเรียกว่าได้ว่า “จนแต้ม” หรือ “จนมุม” หรือถ้าเป็นหมากรุก ก็ “จนกระดาน”
เพราะภาพที่อุ๊งอิ๊ง โอ๊ค หรือแม้แต่ตัวนายเศรษฐาเองได้ขึ้นชั้นมามีบทบาทโดดเด่นข่มทับหัวหน้าพรรคอย่าง นพ.ชลน่าน ก็ด้วยเส้นสายความสัมพันธ์อำนาจของตระกูลชินวัตรเพราะถ้าเทียบประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ การต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ฯลฯ สามคนนี้ ยังด้อยกว่าคนในพรรคเพื่อไทยอีกนับสิบคน
ไม่ต้องกล่าวถึงคนที่ถูกเขี่ยพ้นทางกระเด็นออกจากพรรคไปอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เพราะฉะนั้น หากอยากเห็นสังคมเส้นสาย ไม่เสมอภาค หมดไปจริงๆ
ควรเริ่มจาก จะต้องไม่ให้คนเป็นแคนดิเดตนายกฯ มาจากความไม่เสมอภาค คนโกงหนีคดีเลือก
ต้องไม่อุ้มลูกนายใหญ่ข้ามหัวคนทั้งพรรค เพราะมีดีเอ็นเอสายเลือด
ต้องไม่ยอมรับการวิ่งเต้นเส้นสายรอดคดีฟอกเงิน เพราะอัยการไม่อุทธรณ์
ต้องไม่อมธรณีสงฆ์อยู่ต่อไป
รวมถึงจะต้องไม่ช่วยคนโกงมิให้ติดคุกตามคำตัดสินศาล เพียงเพราะเป็นพ่อและอาตัวเอง ขณะที่คนในสังคมยอมรับคำพิพากษาของศาล ฯลฯ
2.2 น่าแปลกใจ... ปีที่ผ่านมา สดๆ ร้อนๆ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงแสนสิริและเอสซีแอสเซท ทำยอดขายและกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ (โดยเฉพาะแสนสิริ) วางแผนลงทุนปีนี้มโหฬาร เปิดรับพนักงานขายเพิ่มจำนวนมากส่วนสำคัญก็เพราะอานิสงส์จากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล และมาตรการเสริมที่รัฐบาลออกมาช่วยภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะ แต่นายเศรษฐายังกล้าพูดโจมตีสร้างวาทกรรมบิดเบือนตบตาประชาชนเพื่อหาเสียง
2.3 ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“..ตอนภาครัฐเริ่มทำ #คนละครึ่ง นักการเมืองบางพรรคออกมาด่าว่า “ทำไมไม่แจกเงินสด โอนผ่านแอพทำไม? ลำบากชาวบ้านตาสีตาสา” บ้างก็แต่งวาทกรรมโกหกบิดเบือนว่า โครงการเอื้อนายทุน เจ้าสัว ทั้งที่คนละครึ่งใช้กับพวกร้านสะดวกซื้อและห้างต่างๆ ไม่ได้ (ใช้ได้แค่กับร้านค้าชาวบ้านที่ไปเช่าที่ในนั้น)
แต่มาวันนี้หาเสียง บอกจะโอนเงินดิจิทัลให้ “ทุกคน”ไปใช้สอยในพื้นที่ไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งชาวบ้านตามต่างจังหวัดนอกเขตเมือง เขาคงไม่เอาหรอกครับ เพราะบางหมู่บ้าน กว่าจะไปถึงตลาดสด ก็เกินระยะทางละครับ
แล้วที่รัฐบาลทำอยู่หลายปีนี้เขาแบ่งประเภทคนไว้แล้ว 1. ผู้มีรายได้น้อย : รัฐช่วยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2. คนมีรายได้ทั่วไป : ใช้คนละครึ่ง คือ ร่วมจ่าย (Co-Pay) ไม่ใช่มีรายได้สุขสบายแต่จะให้รัฐแจกเงินให้หมดอีก
นอกจากนี้ วิธีการนี้สามารถตรวจสอบการเบิกจ่ายได้เงินไม่รั่วไหลให้กับข้าราชการ นักการเมือง หัวคะแนน เหมือนในอดีต แถมร้านค้าต่างๆ ก็ต้องเข้าระบบกันทำให้ฐานผู้เสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย
โครงการเหล่านี้ได้เปลี่ยนให้ไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง วันนี้คนไทยใช้ระบบสแกนจ่าย Prompt Pay เป็นกันเกือบทั้งประเทศ
เรามาไกลเกินกว่าจะให้นักการเมืองบางกลุ่มมาหลอกประชาชนแบบเดิมๆ ได้แล้วครับ”
2.4 นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา ให้ความเห็นว่า เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์อย่างที่ทางเพื่อไทยกำลังสร้างกระแสในเวลานี้ เพราะปัจจุบัน มีหลายปัจจัยการเมืองที่แตกต่างจากในอดีตมาก เช่น บุคคล นักการเมือง ที่เคยอยู่ร่วมเป็นขบวนการเดียวกัน เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยแต่ปัจจุบันแยกออกไปเยอะ อาทิ พรรคภูมิใจไทยของอนุทิน ชาญวีรกูลพรรคไทยสร้างไทย โดยการนำของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ได้ตัดขาดจากเพื่อไทยอย่างเด็ดเดี่ยว
และยังมีกรณีพรรคก้าวไกล ที่เป็นกลุ่มที่มีความก้าวหน้าทางการเมืองในบางด้าน แต่ก็เป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับการนำของทักษิณและเพื่อไทย ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของการเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ทำให้คนที่เคยเป็นนักวิชาการ นักกิจกรรม หรือคนรุ่นใหม่ ที่เคยคาดหวังว่า พรรคเพื่อไทยจะถือธงนำในการเป็นพรรคเพื่อประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่พวกนี้ไม่มีทางเชื่อแบบนั้นแล้ว เพราะทุกคนมองออกว่า เพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองระบบครอบครัว ที่มีพ่อบ้าน เถ้าแก่ ซึ่งระบบครอบครัว เป็นอุปสรรคโดยตรงต่อระบอบประชาธิปไตย เพื่อไทยจึงไม่ใช่พรรคการเมืองในฝ่ายประชาธิปไตย ที่จะไปแขวนป้าย ติดหน้าผากตัวเองแล้วไปโฆษณาชวนเชื่อกับประชาชนว่าตัวเองเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย เพราะในพรรคก็ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เพราะทุกอย่างก็แล้วแต่เถ้าแก่ นายทุน เจ้าของพรรคจะสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหัน สส.ลูกพรรค ก็เป็นเหมือนหุ่น
นายประพันธ์กล่าวต่อไปว่า จึงเห็นได้ว่า ในขบวนการที่มีการเชิดลูกสาวตัวเองขึ้นมา ทำให้บรรดาสส.และลิ่วล้อในพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาแห่แหน ยกยอปอปั้น จะทำให้เป็นนารีขี่ม้าขาวยกย่องว่าเป็นคนเก่ง มีความสามารถจะเป็นผู้นำประเทศไปโน่นเลย ทั้งที่ไม่เคยทำอะไรมาเลย ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ บริหารกิจการบ้านเมืองก็ไม่เคยทำ บริหารธุรกิจก็ไม่เคยทำ แต่ก็มาอุปโลกน์กันให้ประชาชนยอมรับเพื่อจะให้มาเป็นผู้นำประเทศเพียงชั่วข้ามคืน ไม่เชื่อว่าประชาชนจะยอมรับจนเกิดกระแสคะแนนนิยมสูงซึ่งกรณีแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็คือพ่อของตัวเองต้องเป็นผู้นำที่ซื่อสัตย์ มีความจงรักภักดี มีผลงานในการบริหารประเทศชาติบ้านเมืองจนประสบความสำเร็จแต่ถูกอำนาจการเมืองรังแก ถ้าแบบนี้ก็มีโอกาสที่ทายาท คนเป็นลูก ที่มาลงการเมือง จะได้รับคะแนนสงสารจากประชาชนจนได้เสียงสนับสนุน ซึ่งจะพบเห็นได้จากการเมืองในต่างประเทศ
กรณีของทักษิณ ไม่ได้เป็นนักการเมืองที่ถูกข่มเหงรังแกแต่เป็นนักการเมืองที่คนในประเทศเชื่อว่าอยู่ประเทศไทยไม่ได้เพราะโกง จนไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ความจงรักภักดี อีกทั้งอยู่ประเทศไทยไม่ได้ เพราะกระทำความผิดในทางคดีไว้มากมายในคดีทุจริต ร่ำรวยผิดปกติ เพราะฉะนั้นการที่จะมาบิดเบือน กลับขาวให้เป็นดำ จากหน้ามือเป็นหลังมือเพื่อโปรโมทลูกสาวตัวเอง แล้วมาเรียกร้องให้คนเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เพื่อตัวทักษิณจะได้กลับประเทศ เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ได้เร้าใจมากพอ จึงไม่เชื่อว่าเพื่อไทยจะชนะแบบแลนด์สไลด์
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี