วันสมัครรับเลือกตั้งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2566 จากนั้นก็จะไปสู่กำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และจะไปสู่ประมาณการเวลาในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในช่วงก่อนกลางเดือนสิงหาคม 2566 ซึ่งรวมเวลาแล้วประมาณ 100 วัน
ระยะเวลา 100 วันจากนี้ไปในสถานการณ์เลือกตั้งที่มีปัญหามากหลายคาราคาซังกันอยู่ และอาจเกิดเหตุการณ์ตามที่มีการคาดหมายกันไว้ ซึ่งไม่มีใครคาดการณ์ต่อไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นดังนั้นระยะเวลา 100 วันนี้จึงต้องถือว่าเป็น 100 วันอันตราย
ตามปฏิทินสงกรานต์ประจำปี 2566 ระบุว่านางสงกรานต์เวรปีนี้ที่จะทรงเข้าเวรสงกรานต์ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2566เวลา 16.48 นาฬิกา คือพระนางกิมิทาเทวี ซึ่งจะเสด็จประทับนั่งมาบนหลังควาย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ ซึ่งถือกันว่าเป็นนางสงกรานต์เวรที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลง
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางร้ายหรือทางดี จะเป็นความเปลี่ยนแปลงโดยสันติหรือโดยความรุนแรง เป็นเรื่องที่บรรดาโหรานุโหรจะต้องพยากรณ์กันต่อไป แต่ในที่นี้จำเป็นจะแสดงถึงระยะเวลา 100 วันว่าจะต้องฟันฝ่าหรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
เรื่องแรก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ใจความที่สุดคือฐานะรักษาการของรัฐบาล เพราะเมื่อยุบสภาแล้วคณะรัฐมนตรีเป็นอันพ้นจากตำแหน่ง แต่ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในขอบเขตอันจำกัดจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ดังนั้นในห้วงเวลาเช่นนี้ผู้รักษาการจึงไม่มีอำนาจเต็มเหมือนกับรัฐบาลทั่วไป
ที่สำคัญคือจะแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก กกต. จะอนุมัติหรือทำข้อตกลงที่สำคัญไม่ได้ จะทำโครงการหรือกิจการหรือนโยบายสำคัญใดๆ ไม่ได้
การทั้งหลายจำเป็นต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการจัดทำงบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2566 ก็มีเงินเหลืออยู่ไม่มากนัก และเวลาของปีงบประมาณก็เหลือเพียง 5 เดือนเท่านั้น ดังนั้นความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินใดๆ นอกจากที่กฎหมายงบประมาณ 2566 ได้บัญญัติไว้จึงเป็นอันใช้ไม่ได้
และเห็นได้ชัดว่าจะไม่สามารถทำงบประมาณ 2567 ได้ทันวันที่ 30กันยายน 2566 ซึ่งหมายความว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป จะไม่มีงบประมาณปี 2567 ใช้ แต่สามารถอนุโลมใช้ตามกฎหมายงบประมาณปี 2566 ได้เท่าที่จำเป็น
สภาพเช่นนี้ดำรงอยู่นานเท่าใดจึงมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนมากเท่านั้น คนทั้งหลายจึงมีความปรารถนาร่วมกันที่จะให้การเลือกตั้งเป็นอันเสร็จสิ้นลงโดยเร็วที่สุด โดยสุจริต และเที่ยงธรรม ตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ การใดที่เป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และรวดเร็วย่อมเป็นปรปักษ์ต่อผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งต้องสังวรไว้ให้มาก
เรื่องที่สอง ปัญหาพระราชกฤษฎีกายุบสภาว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือไม่ ยังคาราคาซัง เพราะที่มีผู้ร้องต่อศาลปกครองสูงสุดนั้นศาลไม่รับคำร้อง เพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครองสูงสุดที่จะวินิจฉัย ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีการนำเรื่องสู่ศาลที่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหานี้หรือไม่ เมื่อใด อย่างไร และถ้าผลที่สุดกลายเป็นพระราชกฤษฎีกานั้นตกเป็นโมฆะก็จะมีปัญหาใหญ่หลวงตามมา
เรื่องที่สาม ปัญหาการแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งกำลังมีการพิจารณาวินิจฉัยอยู่และศาลจะมีการวินิจฉัยในวันที่ 7 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของวันสมัครรับเลือกตั้ง ก็ยังไม่รู้หมู่จ่าประการใด ถ้ามีคำวินิจฉัยว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งชอบแล้ว การเลือกตั้งก็จะเดินหน้าต่อไป แต่ถ้าไม่ชอบ กกต. ก็ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งกันใหม่ ก็จะกระทบต่อเขตเลือกตั้งที่กำหนดไว้เดิมและอาจกระทบต่อการสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่มีปัญหานั้น ซึ่งอาจต้องกำหนดเขตเลือกตั้งกันใหม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะในที่สุดกำหนดการเลือกตั้งจะต้องเป็นวันเดียวกันทั่วพระราชอาณาจักร
อาจจะเกิดผลกระทบในเรื่องนี้แต่ยังพอแก้ไขได้ เพราะถ้าจำเป็นขึ้นมาก็อาจกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ และกำหนดการเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยชี้ขาดอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องที่สี่ คือปัญหาการยุบพรรคการเมือง ซึ่งมีข่าวหนาหูมากขึ้นทุกวันว่าจะมีกระบวนการเตะตัดขาทางการเมือง โดยจะมีการยุบพรรคการเมือง 3 พรรค ซึ่งมีการแก้ไขระเบียบการสอบสวนของ กกต.รอไว้แล้ว และจากการสมัครรับเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นปรากฏว่าพรรคการเมืองที่มีข่าวว่าจะถูกยุบพรรคนั้นยังคงเดินหน้าสมัครรับเลือกตั้งเหมือนเดิม ไม่ได้ใช้แผนจั๊กจั่นทองลอกคราบตามที่มีการกล่าวขวัญกัน
หมายความว่าถ้ามีการยุบพรรคก่อนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ ผู้สมัครทุกคนของพรรคที่ถูกยุบก็เป็นอันสิ้นสภาพ แต่ถ้ายุบพรรคหลังจากประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว สส. หน้าใหม่ก็อาจย้ายพรรคไปเข้าพรรคใดพรรคหนึ่ง
ที่สำคัญคือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและไปเลือกพรรคการเมืองเหล่านั้นจะว่าอย่างไร เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์ลุกฮือขึ้นทั่วประเทศก็อาจนำไปสู่วิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ ซึ่งจะต้องติดตามดูต่อไปอย่างใกล้ชิด
เรื่องที่ห้า ข้อครหาเรื่องการโกงเลือกตั้งที่ก่อเค้าและมีสัญญาณมากหลายที่ทำให้ผู้คนต้องจับตามอง ไม่ว่าการใช้อำนาจแฝงในการหาเสียงเลือกตั้ง การใช้ทรัพยากรของรัฐเป็นประโยชน์ในการเลือกตั้ง การเพิ่มค่าตอบแทนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลรวม 4 จำพวก คือ อสม., อบต., กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และล่าสุดคือกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินในขณะที่ไม่มีงบประมาณ และเป็นการสร้างภาระผูกพันปีงบประมาณ 2567 ที่จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
นอกจากนั้นยังมีข่าวคราวครหาถึงกระบวนการโกงเลือกตั้งในกระบวนการต่างๆ เช่น ในหน่วยเลือกตั้ง ในการเกณฑ์ผู้คนไปลงคะแนน ในการนับคะแนน และในการประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในความกังขาของประชาชนทั่วประเทศ จนถึงขนาดมีการกล่าวขวัญว่าอาจมีเหตุการณ์โกงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุด
เพราะเหตุนี้จึงมีการเคลื่อนไหวจัดตั้งขบวนต่อต้านการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ที่จะลงไปกุมสภาพถึงหน่วยเลือกตั้งและกลไกการเลือกตั้งทั้งหลาย และแน่นอนว่าถ้ามีเหตุการณ์โกงการเลือกตั้งก็จะโหมความไม่พอใจในจิตใจของประชาชนที่ปรารถนาให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และรวดเร็ว จึงยากที่จะกล่าวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
เรื่องที่หก คือการฟอร์มรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ก็ปรากฏชัดว่าการเมืองของประเทศได้แบ่งออกเป็น 3 ขั้ว คือ
ขั้วฝ่ายค้านเดิมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนกลาง และเชื่อว่าจะได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่อาจไม่มากพอถึง 376 เสียง ที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี
ขั้วผู้สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งขณะนี้ที่ปรากฏโฉมหน้าชัดเจนก็คือพรรค รทสช. และ ปชป.
และขั้วกลางซึ่งแยกออกมาจากขั้วฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน คือ พปชร.ที่นำโดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคและพรรคร่วมฝ่ายค้านบางพรรคเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรรวม 5 พรรค
ทั้งสามขั้วการเมืองนี้กำลังเคลื่อนไหวเพื่อฟอร์มรัฐบาลหลังเลือกตั้งโดยเฉพาะการประสานกลุ่ม สว. เพื่อให้สนับสนุนในการเลือกนายกรัฐมนตรี โดยจะต้องมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 251 เสียง ซึ่งก็พอแลเห็นกันอยู่ว่าใครจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
100 วันอันตรายเป็นสถานการณ์ที่เผชิญหน้าประเทศไทยและประชาชนชาวไทยทั้งปวงอยู่ในปัจจุบันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี