ผมได้เคยเดินทางไปเยือนประเทศคิวบา และประเทศสวีเดน โดยทั้ง 2 ประเทศนั้นมีความแตกต่างกันมากทั้งในเรื่องระบบการเมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจหรือการทำมาหากิน
สวีเดนอยู่ในกลุ่มประเทศที่จัดได้ว่ามีความเจริญก้าวหน้าสูงสุด ทั้งในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคในระบอบเสรีประชาธิปไตย ประชาชนพลเมืองมีความอยู่ดีกินดีที่มีคุณภาพสูงส่งไม่เป็นรองใคร อีกทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชนและความคิดอ่านและการปฏิบัติในเรื่องมนุษยธรรม ก็เป็นที่โดดเด่นในประชาคมโลก ในขณะที่คิวบานั้นถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์พรรคเดียว สิทธิเสรีภาพทางการเมืองมีความจำกัด และประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่เป็นเจ้าพนักงานรัฐ การมีธุรกิจเป็นของตนเองอยู่ในวงจำกัดและแคบ ฝ่ายภาครัฐจึงเป็นผู้ควบคุมกำกับและดำเนินการในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนพลเมืองเป็นหลัก และด้วยเหตุที่เป็นรัฐคอมมิวนิสต์จึงถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร (Sanction) มาเป็นเวลากว่า 60 ปีแล้ว ทำให้คิวบาตกอยู่ในฐานะประเทศที่ยากจนมากๆ ประเทศหนึ่งของโลก
อย่างไรก็ตามชีวิตประจำวันและโอกาสในชีวิตของชาวสวีเดนและชาวคิวบา แม้จะมีความแตกต่างกันมากซึ่งเรียกได้ว่า ต่างกันแบบฟ้าและดิน แต่ทั้ง 2 ประเทศมีความเหมือนกันอย่างหนึ่งในเรื่องการบริการทางด้านสังคมของรัฐต่อประชาชนพลเมือง นั่นคือ การศึกษาเล่าเรียนฟรี และการรักษาพยาบาลฟรี โดยทั่วไปผู้คนต่างมีที่ซุกหัวนอน และมีความปลอดภัยในชีวิตประจำวันจากโจรผู้ร้าย หรือการใช้อำนาจโดยมิชอบจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ จึงจัดได้ว่าทั้งคิวบาและสวีเดนที่แสนจะแตกต่างกันมากในหลายๆ ประการดังกล่าว กลับสามารถดำรงตนเป็น รัฐสวัสดิการ หรือเป็นรัฐที่เอาใจใส่และดูแลประชาชนพลเมืองในเรื่องพื้นฐานของการดำรงชีวิต และการเสริมสร้างความรู้โดยการมีสิทธิและโอกาสในการเล่าเรียนจนเป็นที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการแพทย์ และการสาธารณสุขของคิวบานั้น มีคุณภาพสูงจนเป็นที่ยอมรับในวงการโลก ดูได้จากการที่คิวบามีขีดความสามารถในการพัฒนายา และวัคซีนด้วยตนเอง และที่สำคัญสามารถส่งแพทย์และพยาบาลไปช่วยเหลือ หรือไปทำงานให้กับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทั่วโลกปีละหลายหมื่นคน ทั้งๆ ที่คิวบาเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่พรรคเดียวบริหารประเทศ และเป็นสังคมนิยมที่รัฐเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งรายได้ของรัฐได้มาจากการค้าขายทั้งภายในและระหว่างประเทศ รวมทั้งการเก็บภาษีค้าขายโดยทั่วๆ ไป ในขณะที่มีรายได้รัฐที่มาจากภาษีรายได้ของผู้คนมีเพียงเล็กน้อย เพราะไม่ได้มีแวดวงธุรกิจให้เก็บภาษีมากนัก และพนักงานรัฐดังกล่าวก็แทบจะไม่ต้องเสียภาษีรายได้ หรือถ้ามีก็เสียเพียงเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้ประเทศร่ำรวยด้วยงบประมาณ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับสวีเดน ที่เป็นประเทศในระบบเศรษฐกิจการตลาด ภาคธุรกิจเอกชนเป็นตัวหลักในการเสียภาษี และประชาชนพลเมืองโดยทั่วไปต่างเสียภาษีสูง เพื่อรัฐจะได้มีงบประมาณเพื่ออุดหนุนจุนเจือในเรื่องการรักษาพยาบาลและการเล่าเรียน และการมีทุนสำรองไว้เพื่อเป็นบำเหน็จบำนาญให้กับผู้ที่เกษียณอายุราชการ และกิจการธุรกิจต่างๆ
ขณะที่คิวบามีรายรับที่จำกัด แต่ก็สามารถจัดสรรเพื่อกิจการสวัสดิการต่างๆ ดังกล่าว ให้กับประชาชนพลเมืองได้ทั้งสองประเทศได้แสดงให้โลกเห็นว่า ไม่ว่าประเทศจะมีระบบการเมือง หรือระบบภาษีอย่างใด ก็ไม่สามารถที่จะละทิ้งบทบาท และภาระของสังคมหรือรัฐต่อประชาชนพลเมืองได้ โดยเฉพาะในเรื่องการเรียนฟรี การรักษาพยาบาลฟรี และการมีที่อยู่อาศัย และการเดินทางไปทำงานประจำวันที่สนนราคาเหมาะสมกับรายได้
ณ วันนี้หันกลับมาที่ประเทศไทย เยาวชนจากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ หรือปานกลาง ยังต้องกู้เงินเพื่อไปเล่าเรียนและดำรงชีวิต ขณะที่เยาวชนไทยอีกกลุ่มหนึ่งมาจากครอบครัวชั้นกลางไม่ต้องกู้ยืมเงินเพื่อการเล่าเรียนและการใช้จ่ายประจำวัน และเมื่อเยาวชนที่กู้ยืมเงินไปนั้นจบการศึกษา ก็ต้องนำเอาเงินเดือนจากการทำงานส่วนหนึ่งไปใช้หนี้การเล่าเรียน สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่าสังคมไทยนั้นไม่แฟร์และไม่ยุติธรรม ระหว่างเยาวชนที่ยากจนหรือมีอันจะกินน้อย กับเยาวชนที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง
ก็อยากฝากข้อคิดตรงนี้ว่า ในเมื่อคิวบาเขาแสนจะยากจนกว่าไทย รวมทั้งสวีเดนที่แสนจะร่ำรวยกว่าไทย เขาต่างมีการบริการด้านสังคมในเรื่องการศึกษา และในเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพได้ แล้วทำไมประเทศไทยถึงจะทำบ้างไม่ได้?
แล้วนักวางแผนทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานวิจัยต่างๆ เห็นเขาแล้ว มีความเห็น และแนวทางที่จะทำให้สำเร็จได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นพรรคการเมืองที่กำลังคึกคักกับฤดูเลือกตั้ง และนักการเมืองทุกคนจะว่าอย่างไรในประเด็นคุณภาพชีวิตเหล่านี้? หรือว่าพวกท่านไม่มีความอนาทรร้อนใจต่อความเหลื่อมล้ำในสังคม และไม่มีความรู้สึกนึกคิดว่ารอบๆ ตนเอง และรอบๆ บ้านช่องที่อยู่อาศัยของตนเองนั้นยังเต็มไปด้วยผู้ยากไร้ และผู้ที่ถูกหลงลืมหรือได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ทัดเทียม จึงไม่ต้องพยายามรังสรรค์นโยบายเพื่อคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศออกมาให้ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน และไม่เป็นเพียงนโยบายประชานิยมแบบสุกเอาเผากิน แต่ต้องมีความลึกซึ้งและอ่อนไหวในเรื่องการยกระดับของประชาชนพลเมืองให้มีความทัดเทียมและเสมอภาคกันยิ่งขึ้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี