ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา โลกได้เห็นบทบาททางการทูตเชิงรุกที่สำคัญของจีน เช่น การมีข้อเสนอเพื่อเสริมสร้างสันติภาพในกรณีการขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ด้วยการพบปะกับประธานาธิบดี ปูติน แห่งรัสเซีย และการต่อสายโทรศัพท์ถึงประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์เซเลนสกี แห่งยูเครน รวมไปถึงการที่จีนได้เชิญคู่อริด้านการนำพาศาสนาอิสลาม และการแข่งขันขยายอิทธิพลในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยการเชิญผู้นำของอิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ให้มาพบปะหารือกันที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งก็มีผลออกมาว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต เริ่มด้วยการเปิดสถานทูตในเมืองหลวงของกันและกัน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงของจีนในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยประเด็นปัญหา และเสริมสร้างสันติภาพ
ก่อนหน้านั้น ชาวโลกได้ทราบเกี่ยวกับการที่จีนได้ก้าวออกไปสู่โลกกว้าง เพื่อเสริมสร้างมิตรไมตรี และขยายอิทธิพลด้วยการลงทุนในกิจการเหมืองแร่ และพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้เงินกู้แบบผ่อนปรนในประเทศกำลังพัฒนาในทุกทวีป มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว อีกทั้งจีนยังได้ประกาศและดำเนินนโยบาย “แถบเดียวถนนเดียว” (Belt and Road Initiative) และการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bank for Infrastructure Investment) อีกทั้งยังได้จัดตั้งเวทีหารือเพื่อความร่วมมือทางด้านความมั่นคงแห่งนครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) และการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอันสำคัญในการรวมกลุ่มประเทศกำลังพัฒนายักษ์ใหญ่ ที่ประกอบด้วย จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ เพื่อผนึกกำลังทางเศรษฐกิจการค้า และต่อรองกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากอเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น เพื่อมิให้ฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกชี้นำ หรือครอบงำความเป็นไปในโลกกว้าง ที่เริ่มตั้งแต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดอีกต่อไป
หรือนัยหนึ่งก็เป็นการคานอำนาจของฝ่ายตะวันตกด้วยการเสนอทางเลือกของวิธีการทำมาหากินและอยู่ร่วมกันให้กับชาวโลก โดยฝ่ายจีนยึดหลักของการไม่เข้าไปแทรกแซงในกิจการภายในของประเทศใดๆ (Non-Interference) และจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองของประเทศหนึ่งใด เพื่อให้คล้อยตามไปตามระบบการบ้านการเมืองของฝ่ายตน (Regime Change) ซึ่งก็เป็นการประกาศตัวอย่างแน่ชัดว่าไม่เอาด้วย และไม่เห็นด้วยกับวิธีการของฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปตะวันตก ที่มักจะชอบเข้าไปแทรกแซงในกิจการภายใน และเปลี่ยนรูปโฉมของโครงสร้างทางการเมือง เพื่อให้เป็นไปตามสิ่งที่ต้องการ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตย โดยในขณะเดียวกันนั้น จีนก็พยายามโหมโฆษณาชวนเชื่อระบบระบอบการเมืองของตน ที่ยึดมั่นในเรื่องการบริหารประเทศด้วยระบบพรรคเดียวนำพา และควบคุมบทบาทของภาคเอกชน ในเรื่องการทำมาค้าขายให้อยู่ในระดับที่จะไม่คุกคาม หรือบ่อนทำลายความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
กลับมาที่เรื่องอิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ก็ต้องกล่าวว่า จีนใช้จังหวะและโอกาสได้อย่างเหมาะสม จนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาผู้มีอิทธิพลในตะวันออกกลางมาโดยตลอด ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้อย่างเพียงพอ แถมมีเหลือที่จะส่งออกด้วยได้ ส่งผลให้ความสำคัญของซาอุดีอาระเบียต่อตนในด้านพลังงานลดน้อยลง ขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็ดิ้นรนต้องหาแหล่งตลาดใหม่ ซึ่งแหล่งนี้คือ จีน ส่งผลให้จีนและซาอุดีอาระเบียสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ เป็นผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนอิหร่านนั้นแต่เดิมก็มีสถานะเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ บวกกับการถูกคว่ำบาตรในเรื่องความทะเยอทะยานในเรื่องการจะเข้าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐฯ จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดจาเชิงมิตรไมตรีกับอิหร่านได้ รวมทั้งไม่อยู่ในฐานะที่จะไกล่เกลี่ยประเด็นปัญหาระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียได้ ขณะที่จีนไม่มีประเด็นปัญหาใดๆ กับทั้ง 2 ประเทศ และแถมยังเป็นลูกค้าด้านเชื้อเพลิงที่ดีกับทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ การทูตเชิงรุกของจีนก็ดูมีความคืบหน้า มีความสำเร็จ ที่ค่อนข้างเป็นที่พึงพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม จีนยังต้องระมัดระวังที่จะต้องหลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆ ที่มีลักษณะของการครอบงำหรือเอาประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว หรือไปร่วมลงทุนให้กู้ยืมเงินในโครงการต่างๆ ที่ไม่ได้เสริมสร้างการพัฒนาของประเทศต่างๆ เหล่านั้นอย่างจริงจัง อีกทั้งจีนก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตนเองในเรื่องนโยบายแข็งกร้าว ก้าวร้าวต่อจีนเกาะไต้หวัน และต่อประเทศรอบๆ บ้าน ที่มีข้อพิพาทว่าด้วยดินแดนทางทะเล ด้วยเพราะการก้าวร้าวดังกล่าวจะดูไม่สอดคล้อง หรือไปด้วยไม่ได้กับนโยบายและการทูตเชิงสร้างสรรค์ ที่ตนเองได้แสดงต่อปัญหายูเครน และปัญหาตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงตนเองกับเอเชียกลาง ไปจนถึงฝั่งยุโรป ที่มาในกรอบของเส้นทางสายไหมยุคใหม่
จีนก้าวออกไปเพื่อช่วยเสริมสร้างสันติภาพที่ยุโรปและตะวันออกกลาง แต่ในขณะเดียวกันจีนก็จะต้องช่วยเสริมสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วย จะดำเนินนโยบายก้าวร้าวต่อไปก็จะดูกระไรอยู่ และไม่สะท้อนว่ามีความสม่ำเสมอ และฉะนั้นความน่าเชื่อถือก็จะถดถอยลงไปด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี