นับถอยหลังสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดให้พรรคการเมืองต่างๆ ส่งตัวแทนลงสมัครทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ช่วงวันที่ 3-7 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่อีกด้านหนึ่ง บรรดาภาควิชาการ ภาคประชาสังคม นักเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ได้จัดเวทีแถลงข่าว-จัดงานสัมมนา ยื่นข้อเรียกร้องถึงพรรคการเมืองที่จะได้เข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ให้ช่วยผลักดันประเด็นเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. 2566 ในงานแถลงข่าว “เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society’s Agenda for the 2023 Thailand Election)” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มีนักเคลื่อนไหวเข้าร่วมยื่นข้อเรียกร้อง อาทิ ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า “สิทธิมนุษยชนคือเรื่องของทุกคนไม่ว่าจะมีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม” ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในประเทศไทย พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของก้าวต่อไปของประเทศไทยทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรองพันธกิจสำคัญที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการเคารพ ปกป้องคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิต่างๆ รวมทั้งปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่ง “พรรคการเมืองที่ให้คุณค่าประชาชน คือ พรรคที่พัฒนานโยบายเพื่อสังคมโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน” ไม่ว่าท้ายที่สุดจะได้เข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน หรือแม้แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้เลยก็ตาม
“การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือการทำงานของรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้แทนของประชาชนจะใช้กลไกในรัฐสภาอย่างไรให้เกิดการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนมากที่สุด” ผอ.แอมเนสตี้ฯ (ประเทศไทย) กล่าว
นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ฉายภาพปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคมไทย ที่ถูกทำให้มองเป็นเรื่องปกติ เช่น ในขณะที่มีคนจน 4.4 ล้านคนรายได้ต่ำกว่า 2,803 บาทต่อเดือน แต่คนรวย 40 ตระกูล มีมูลค่าทรัพย์สิน 143,595 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 28.5ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ
“ที่ดินอยู่ในมือคนมั่งมีกว่า 6 แสนไร่ เท่ากับจังหวัดสมุทรปราการ แต่มีคนไร้ที่ดินอีกจำนวนมาก มีเด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.2 ล้านคน เด็กจากครัวเรือนยากจนเข้าถึงมหาวิทยาลัยเพียง 11% ตลอดจนผู้สูงอายุและคนพิการได้รับเบี้ยยังชีพต่ำกว่าเส้นความยากจน 3-5 เท่า การเลือกตั้ง 2566 ในครั้งนี้ จึงมีเดิมพันระหว่างสังคมไทยที่มีความหวังกับความสิ้นหวัง” นิติรัตน์ กล่าว
นัสรี พุ่มเกื้อ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ กล่าวว่า ในตอนนี้สังคมไทยได้กลายเป็นสังคมที่เยาวชนไร้ความหวัง เด็กเเละเยาวชนหลายคนถูกผลักออกจากระบบการศึกษา สถิติการเกิดขึ้นของปัญหาสุขภาพจิตในเด็กเเละเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำเด็กเเละเยาวชนในประเทศนี้ยังรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ-ไม่มีเสียง ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงเเค่การเลือกตั้งทั่วไป
“ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ หากเราชนะ เเละข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมสัมฤทธิผล นี่จะเป็นตัวจุดชนวนความหวัง เเละ เป็นเชื้อไฟให้กับเด็กเเละเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เติบโตในสังคมไทย หากผู้นำประเทศคาดหวังที่จะให้เราเติบโตที่นี่ ต้องสร้างสภาพเเวดล้อมเเละสังคมที่ดีสำหรับการเติบโตของพวกเราด้วย” นัสรี กล่าว
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีซ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ไม่ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นจุดขายของพรรคการเมืองต่าง ๆ หรือไม่อย่างไร แต่หากไร้ซึ่ง “การรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (Right to a Healthy Environment)” นโยบายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็นกลไกในการฟอกเขียว ขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น และสร้างความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“กรีนพีซเชื่อว่าการเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นธรรมทางสังคมและประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางความคิด และเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายอย่างแข็งขันและมีความหมาย” ผอ.กรีนพีซ (ประเทศไทย) กล่าว
สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ จำกัด เรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ เสนอนโยบายกำหนดความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน เพื่อยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจ เพิ่มความโปร่งใสซึ่งก็จะเพิ่มพลังของผู้บริโภคในการติดตามตรวจสอบธุรกิจ สร้างความเท่าเทียมในสนามแข่งขัน อีกทัั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้บริษัทไทยสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่มีแนวโน้มจะใส่ข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนเข้ามามากขึ้น
“เราควรออกกฎหมายห้ามการเลือกปฏิบัติ และออกกฎหมายบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านตามหลักการชี้แนะ UNGP ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ถ้าเรามีกฎหมายนี้ บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรก็ต้องตรวจสอบว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดกับการเผาแปลงปลูกไม่ว่าจะในที่ราบหรือบนดอยในห่วงโซ่อุปทานของตน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ในประเทศ และชี้แจงว่าบริษัทมีมาตรการลดแรงจูงใจในการเผาของเกษตรกรอย่างไร” สฤณี กล่าว
อธิพันธ์ ว่องไว หัวหน้าโครงการ “กาลพลิก” มูลนิธิกระจกเงา ให้ความเห็นว่า หน่วยเลือกตั้งต่างๆ ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถอำนวยให้คนพิการสามารถไปใช้สิทธิลงคะแนนได้จริง ซึ่งคนพิการต่างตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศ และต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายด้านการส่งเสริม
อาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ต้องมีกลไกสนับสนุนผู้ช่วยคนพิการ
“นโยบายต่างๆ ต้องไม่มาจากทัศนคติด้านการสงเคราะห์ ควรเพิ่มค่าจ้างคนพิการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดผู้ช่วยคนพิการมากขึ้น ด้านกลไกผู้ดูแลคนพิการไม่ควรขึ้นอยู่กับ อสม. เพียงอย่างเดียว และต้องพัฒนากองทุนคนพิการให้ใช้งานตอบโจทย์คนพิการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญการเลือกตั้งต้องเคารพสิทธิและเสียงของคนพิการ” อธิพันธ์ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี