วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
.jpg)
ขณะที่พรรคการเมือง หาเสียงกันด้วยนโยบายประชานิยมเมามัน
พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายแจกเงินหัวละหมื่น เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล คนรวย-คนจนได้หมด โดยมีเงื่อนไขการใช้จ่าย
นโยบายนี้นโยบายเดียวจะต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน 560,000 ล้านบาท
น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ จัดงานผู้ว่าการ ธปท. พบสื่อมวลชน Meet the Press
แสดงความเห็นในภาพรวมต่อนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองระบุว่า นโยบายหาเสียงควรต้องคำนึงถึงเสถียรภาพทางการเงิน ควรเข้าสู่สภาวะปกติหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ แสดงความเป็นห่วงนโยบายประชานิยมจะทำหนี้สูงขึ้น ช่วยกระตุ้นแค่ระยะสั้น แต่จะมีผลกระทบข้างเคียง ควรช่วยตรงกลุ่มเป้าหมาย มากกว่าใช้นโยบายแบบ “เหวี่ยงแห”
1.เพจธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สรุปสาระสำคัญจากงานผู้ว่าการ ธปท. พบสื่อมวลชน (Meet the Press) ระบุว่า
“1.ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเจอหลาย shockทั้งวิกฤตโควิด เงินเฟ้อสูงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน USD แข็งค่า และล่าสุดปัญหาแบงก์ในสหรัฐฯ ที่แสดงถึงอาการ “น้ำลด ตอผุด” หลังเจอดอกเบี้ยขึ้นเร็ว
2.แต่เศรษฐกิจไทยผ่านมาได้ และคาดจะฟื้นตัวต่อเนื่อง เสถียรภาพด้านต่างๆ เช่น ระบบสถาบันการเงิน ด้านต่างประเทศ เข้มแข็ง แต่ยังต้องติดตามหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
3.ปีนี้ แรงส่งหลักของเศรษฐกิจไทยมาจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ ขณะที่การส่งออกคาดปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
4.เงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง และล่าสุดกลับเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1%-3% แล้ว แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังสูงกว่าในอดีตและอาจเสี่ยงว่าจะอยู่สูงต่อเนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
5.จากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง นโยบายเศรษฐกิจปัจจุบันควรคำนึงถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศและทยอยปรับสู่ภาวะปกติ มากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจแบบหว่านแหวงกว้าง
6.ลักษณะนโยบายที่อยากเห็น คือ ต้องไม่บั่นทอนเสถียรภาพของประเทศ ทั้งด้านราคา ต่างประเทศ ระบบสถาบันการเงิน และการคลัง วิกฤตในต่างประเทศหลายครั้งเกิดจากการขาดเสถียรภาพด้านใดด้านหนึ่ง
7.นโยบายเศรษฐกิจมหภาคควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เช่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม พัฒนาระบบ social safety net ซึ่งต้องประเมินผลดี-ผลเสียของนโยบายอย่างรอบด้าน และคำนึงถึงทรัพยากรที่มีจำกัด”
.jpg)
2. คำเตือนจากผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาล พรรคการเมือง ภาคเอกชน และประชาชน พึงใส่ใจอย่างจริงจัง
แบงก์ชาติ ดูแลเสถียรภาพการเงินของประเทศ ดูอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ดูเงินเฟ้อ ดูอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ
รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ดูมาตรการคลัง การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ภาษีอากร
เสถียรภาพการเงินเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าเกิดปัญหาแล้ว ยากจะแก้ไข สุ่มเสี่ยงที่จะเดินซ้ำรอย อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา ซิมบับเว ฯลฯ เงินเฟ้อกระฉูดเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์
ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่างจากข้าราชการกระทรวงการคลัง ไม่ใช่ลูกน้องที่รัฐบาลจะไปกดปุ่มสั่งการอะไรได้ง่ายๆ
ดังนั้น เมื่อผู้ว่าการแบงก์ชาติออกมาเตือนจงรับฟังเถิด
ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้ คำเตือนของผู้ว่าการแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิ ระบุว่า
... ธปท.ไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งนำมาหาเสียง
แต่ในหลักการแล้ว หากเป็นนโยบายที่ออกมาแล้วบั่นทอนต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ก็เป็นปัจจัยที่ ธปท.ต้องจับตา
เมื่อพิจารณาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาในหลายๆ ประเทศก็มีความจำเป็นต้องดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ 4 เรื่อง ประกอบด้วย
1.เสถียรภาพด้านราคา นโยบายที่ออกมาต้องไม่กระตุ้นให้เงินเฟ้อขยายตัวสูงขึ้นมาก เช่น หลายประเทศที่ต้องพิมพ์เงินออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาเสถียรภาพ ทำให้นโยบายการเงินต้องไปตอบสนองนโยบายการคลังเกินความจำเป็น จนขาดเสถียรภาพในการกำหนดนโยบาย
2.เสถียรภาพด้านต่างประเทศ เช่น การทำนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ไปกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน
3.เสถียรภาพด้านฐานะการคลัง ที่ต้องคำนึงบนพื้นฐานหลายอย่าง ไม่ให้ภาระการคลังสูงเกินไปจนกระทบกับเสถียรภาพและหนี้สาธารณะต่อจีดีพี รวมถึงภาระหนี้ต่องบประมาณต้องควบคุมไม่ให้สูงเกินไป โดยปัจจุบันไทยมีภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ในสัดส่วน 8.5% และคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 8.75% แต่หากทำนโยบายใช้จ่ายที่กระตุ้นภาระหนี้ให้สูงมากกว่า 10% ประเทศก็อาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ
และ 4.เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ก็ต้องทำนโยบายที่ไม่กระตุ้นให้ผิดวินัยการชำระหนี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นการบั่นทอนเสถียรภาพ
นายเศรษฐพุฒิย้ำว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่จำเป็นต้องกระตุ้น แต่ควรให้น้ำหนักในเรื่องของการดูแลเสถียรภาพ
“ในอดีตที่ผ่านมาเราทำกันเยอะแล้ว กระตุ้นโน่นนี่ ก็เห็นว่าได้ผลแค่ชั่วคราว แต่มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นด้วย คือหนี้มันโตขึ้น ดังนั้น การทำนโยบายต้องมองให้ครบทั้งระยะสั้นยาว ค่าเสียโอกาส และงบประมาณที่เรามีจำกัด
การทำนโยบายประชานิยมในบ้านเรา เห็นพูดมานาน แต่ไม่ควรทำมากเกินไป ที่เห็นคือการดูแลตั้งแต่เด็กจนแก่ เพราะอาจแก้ไขปัญหาได้ไม่ตรงจุด ดังนั้น ควรบูรณาการให้ยั่งยืน จะเสริมการเติบโตระยะยาว ต้องหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน และทำให้มั่นใจว่าช่วยเหลือได้จริง อย่างในต่างประเทศจะเห็นนโยบายช่วยเหลือเด็ก ซึ่งจะมีผลที่ยั่งยืนต่อเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ข้อมูลที่ใช้ต้องตรงจุดมุ่งเป้าไปที่กลุ่มบุคคล ไม่ใช่นโยบายทอดแห ลดค่านู่นนี่ เป็นอะไรที่ไม่เฉพาะเจาะจง ทุกคนได้ประโยชน์ หากนำเงินที่มีจำกัดไปช่วยคนรวยก็ไม่สมเหตุสมผล จึงควรนำเงินไปช่วยเหลือคนจนให้ตรงกลุ่ม เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน เงินลงไปคนจนมากกว่าทำเหวี่ยงแหทอดแห”
สถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าสู่โหมดออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยปีนี้คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวที่ 3.6% โดยเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวคือท่องเที่ยว ที่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28 ล้านคน และการบริโภคภาคเอกชนที่บางช่วงอาจชะลอลงบ้าง แต่ในภาพรวมยังขยายตัวได้ และยังไม่เห็นสัญญาณลดลง ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกได้ และเชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ส่งออกจะฟื้นกลับมาเป็นบวกได้ราว 4% จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 7% รวมถึงมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้เกิน 4%
“การดำเนินนโยบายทั้งด้านการเงินและการคลัง จึงแตกต่างกับในช่วงโควิด-19 ที่ต้องจัดเต็ม แต่ขณะนี้มาตรการที่ออกมาต้องเน้นในการดูแลเรื่องเสถียรภาพ ซึ่งมีความสำคัญมากกว่ากระตุ้นให้ขยายตัว โดยนักลงทุนต่างชาติเองก็ให้ความสำคัญที่สุดในเรื่องเสถียรภาพเป็นหลัก มากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สารส้ม

‘ผบก.ตม.4’ลงพื้นที่‘ด่านช่องเม็ก’ สกัด‘รถน้ำมัน’ทะลักออกด่าน ตามคำสั่ง‘มทภ.2’
เปิดเอกสารลับ 'ประเสริฐ จันทรรวงทอง'อนุมัติปลัดดีอี ลงนามMOU พิสดาร กับบ.สิงคโปร์
ในหลวง-พระราชินี ทรงรับผู้บาดเจ็บ-ผู้เสียชีวิต จากเหตุชายแดน ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
มาลี แถลงโต้ ยันเขมรไม่ได้กักตัวคนไทย โอดถูกเครื่องบิน F-16 ระดมทิ้งระเบิด
สรุปเหรียญ กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ไทยยังคงนำเป็นจ้าวเหรียญทอง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี