พลันที่ นายบองบอง มาร์กอส จูเนียร์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ก็เกิดคำถามตามมาทันทีว่า เขาจะดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างไร? โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับจีน และในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งชาวโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกหรืออินโด-แปซิฟิกก็เฝ้ามองอย่างสนอกสนใจ
บัดนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ประธานาธิบดี บองบอง มาร์กอส จูเนียร์ ตั้งใจนำฟิลิปปินส์กลับสู่ความเป็นมิตรไมตรี และเป็นพันธมิตรทางด้านทหาร และความมั่นคงกับสหรัฐฯ ดังที่เคยเป็นมาในอดีตโดยเฉพาะในช่วงยุคสงครามเย็น ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีในเชิงตรงกันข้ามอย่างใหญ่หลวง กับนายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ที่มีทีท่าเหินห่าง และไม่ค่อยมีมิตรไมตรีกับสหรัฐฯ โดยพอใจ และเสริมสร้างความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับจีน ในฐานะคู่แข่งและคู่อริกับสหรัฐฯ
สาเหตุที่ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ไม่ค่อยชอบหน้าสหรัฐฯ ก็เพราะฝ่ายสหรัฐฯ นั้นไม่เห็นด้วยกับนโยบายปราบปรามยาเสพติดของตน ที่เป็นการดำเนินการแบบอยู่เหนือกฎหมาย และมักจะพูดจาในเชิงบีบบังคับและผลักดันในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนรวมทั้งวิจารณ์การที่ ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ใช้กฎหมายและกลไกรัฐเป็นเครื่องมือในการจำกัดและตีกรอบบรรดาฝ่ายผู้เห็นต่าง จากทั้งแวดวงทางการเมือง วิชาการ และสื่อ
สิ่งเหล่านี้ ตรงกันข้ามกับฝ่ายจีนที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวในเรื่องการเมืองภายในของฟิลิปปินส์ แถมยังมอบงบช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาต่างๆ เป็นจำนวนมากให้กับรัฐบาลประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ส่งผลให้แม้ว่าศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่กรุงเฮก ได้มีข้อวินิจฉัยออกมาว่า ข้ออ้างของจีนว่าด้วยสิทธิในการครอบครองทะเลจีนตอนใต้เป็นส่วนใหญ่นั้น (หรือแทบจะพื้นที่ทางทะเลเกือบทั้งหมด) ไม่มีหลักฐานใดๆ รองรับ ไม่ว่าจะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และหลักฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ก็มิได้ใช้ผลการตัดสินใจของศาลอนุญาโตตุลาการดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการบีบคั้นฝ่ายจีน ให้โอนอ่อนและยอมรับข้อวินิจฉัย โดยเอาแต่ปิดปากเงียบ เพราะเห็นแก่
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความช่วยเหลือของจีนมากกว่า
สรุปก็คือ ในช่วงประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ฟิลิปปินส์ได้หันไปร่วมมือกับจีน และเพิกเฉยกับสหรัฐฯ แต่มาบัดนี้รัฐบาลชุดใหม่ของฟิลิปปินส์ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี บองบอง มาร์กอส จูเนียร์นี้ ฟิลิปปินส์ได้วกกลับมาหาสหรัฐฯ ทำการฟื้นฟูความสัมพันธ์และการเป็นพันธมิตร เช่น การเปิดฐานทัพถึง 4 แห่งให้กับฝ่ายกองกำลังของสหรัฐฯ มาประจำการ เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยของฟิลิปปินส์ และป้องปรามจีนมิให้คุกคามฟิลิปปินส์ และการใช้มาตรการฝ่ายเดียวในบริเวณน่านทะเลที่ฟิลิปปินส์กับจีนยังมีข้อพิพาทกันอยู่ นอกจากนั้นก็มีการเพิ่มพูนการซ้อมรบ ซึ่งมิได้จำกัดแค่ 2 ฝ่าย คือฟิลิปปินส์ กับสหรัฐอเมริกา แต่ได้เชิญญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เข้าร่วมและสังเกตการณ์ด้วย ไปจนถึงความร่วมมือช่วยเหลือในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรมและการให้ทุนการศึกษาทางวิชาทหารให้กับบุคลากรของฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ก็อาจจะกล่าวต่อไปได้ว่า สหรัฐฯ ได้ประสบความสำเร็จในการกระชับความร่วมมือทางด้านความมั่นคงและทางทหารกับ 4 ประเทศหลักในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกไปแล้ว คือกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินเดีย และมาบัดนี้ก็ได้ฟิลิปปินส์ขึ้นมาเป็นพันธมิตรหลักอันดับ 5 โดยยังไม่นับรวมจีนไต้หวัน ซึ่งมีลักษณะและสถานะพิเศษ ที่จีนแผ่นดินใหญ่ยังมีความประสงค์ที่จะเข้ายึดเพื่อรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่ไต้หวันก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ เต็มที่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีนัยว่า สหรัฐฯ กำลังประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นในการเสริมสร้างแนวร่วม ในการตีกรอบและปิดล้อมจีนมิให้สามารถดำเนินการแต่ฝ่ายเดียว รวมทั้งสามารถคุกคามประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่มีขอบเขต
อย่างไรก็ดี ได้มีข้อสังเกตว่า ในการปรับเปลี่ยนนโยบาย และท่าทีของฝ่ายฟิลิปปินส์โดยประธานาธิบดีคนใหม่ล่าสุดนี้ ก็มิได้มีปฏิกิริยาในเชิงลบ หรือการคัดค้านแต่อย่างใดจากสังคมให้เป็นที่ประจักษ์แน่ชัด ที่ฟิลิปปินส์จะหวนกลับไปเป็นพันธมิตรอันสำคัญยิ่งของสหรัฐฯ ในแถบทะเลจีนตอนใต้
ในภาพรวมแล้ว ฟิลิปปินส์ก็ถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และฉะนั้นฟิลิปปินส์ก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศประชาธิปไตย (The Democracies) ที่มีสหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่ ตรงกันข้ามกับประเทศไทย ณ วันนี้ ที่ไม่อยู่ในข่าย ไม่เหมือนกับช่วงทศวรรษปี พ.ศ. 2540 โดยประมาณ ที่ประเทศไทยในตอนนั้นเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ
สำหรับฝ่ายจีนนั้น ก็คงรู้สึกเสียดายและเสียหน้าที่ปล่อยให้ฟิลิปปินส์หลุดมือไปสู่อ้อมอกอ้อมกอดของสหรัฐอเมริกา แล้วก็คงต้องทบทวนสถานะและบทบาทของตนเองอย่างเอาจริงเอาจังเพราะดูเสมือนว่า ยิ่งจีนรุกคืบ ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ไม่ยอมถอยแถมยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี และความสัมพันธ์ในระดับกลุ่มประเทศกับมิตรประเทศและพันธมิตรต่างๆ มากยิ่งขึ้นอีกเป็นลำดับ ซึ่งหมายความว่าจีนกำลังถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในกรอบวงล้อมของฝ่ายสหรัฐฯ มากขึ้น และฉะนั้นนโยบายเผชิญหน้าดูจะมีทางตัน จีนก็ควรจะทบทวนว่าจะดำเนินนโยบายแบบอะลุ้มอล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยจะดีกว่าหรือไม่?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี