หน้าที่สำคัญของการเลือกตั้งในทางการเมืองคือ เป็นการบ่งบอกว่าเป็นพื้นฐานของการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ไปใช้สิทธิเลือกบุคคลที่ต้องการให้เข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของตนในภารกิจต่างๆ เช่น เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เลือกสมาชิกวุฒิสภา และแม้กระทั่งเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงประธานาธิบดีในบางประเทศที่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งดังกล่าว
ในเชิงการเมือง มองว่าการเลือกตั้งเป็นการใช้สิทธิ์โดยตรงของประชาชน หรืออาจจะเรียกว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตยแบบโดยตรง แต่ตรงนี้ต้องขอเน้นย้ำว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องเป็นผู้มีวุฒิภาวะที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน และต้องเป็นการใช้สิทธิเลือกตั้งโดยชอบธรรม มิใช่ใช้สิทธิ์เพราะได้รับอามิสสินจ้าง หรือถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกตัวเลือกที่มีอย่างจำกัด
เหตุที่กล่าวถึงประชาชนที่มีคุณภาพ ก็เพราะเป็นตัวยืนยันว่าการเลือกตั้งจะมีคุณภาพตามไปด้วย และจะสามารถนำไปสู่การได้ตัวแทนที่มีคุณภาพในที่สุด แต่หาก
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นแค่เพียงผู้ที่สักแต่ว่ามีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่มีอิสระ ไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้ตามความสมัครใจของตนเอง ก็นับว่าเป็นการเลือกตั้งที่ปราศจากคุณภาพ เป็นการเลือกตั้งที่ถูกชี้นำ หรือถูกชักนำได้ตามแต่ลักษณะของอิทธิพลต่างๆ เช่น อิทธิพลของเงิน อิทธิพลของอำนาจ และอิทธิพลของความกลัวว่าชีวิตจะไม่ปลอดภัย หรืออิทธิพลในประเด็นที่จะส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงในการทำธุรกิจการงาน เป็นต้น
ตามปกติ ในแง่มุมของสำนักเสรีนิยมมักจะเชื่อว่า หลักการสำคัญของการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย จะต้องประกอบด้วยสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
การสืบทอดอำนาจรัฐ โดยยึดมั่นในหลักสันติวิธี (peaceful succession of power)
ปกครองด้วยความยินยอมของประชาชน (govern by consent of people)
ยีดหลักนิติรัฐ (rule by law)
เคารพเสียงข้างมาก แต่ไม่ละเมิดสิทธิของเสียงส่วนน้อย (majority rules, minority rights)
เคารพหลักการสิทธิมนุษยชน (human rights)
เมื่อทราบหลักการเบื้องต้นของการปกครองตามระบอบเสรีประชาธิปไตยสากลแล้ว คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าในบ้านในเมืองของเรา (หมายถึงประเทศไทย) เรายึดหลักการข้อไหนบ้าง แล้วทำตามหลักของข้อไหนได้อย่างเคร่งครัดบ้าง
มีคำถามว่า คนไทยส่วนใหญ่เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. โดยใช้หลักการ และหลักเกณฑ์ใดเป็นสำคัญ แล้วทำไมบ้านเราจึงมีปัญหาทุจริตการเลือกตั้งมากมาย แถมยังมีเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงที่ถูกระบุว่าน่าจะติดอันดับต้นๆ ของโลกใบนี้
ตามปกติ ในระบอบเสรีประชาธิปไตยแท้ๆ เชื่อกันว่า การลงคะแนนเลือกตัวแทนเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของประชาชน แต่ทำไมในบ้านเรา การลงคะแนนเลือกตั้งจึงถูกครอบงำโดยบุคคลบางกลุ่ม หรือถูกทำให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของเงินตรา ทรัพย์สิน และสิ่งตอบแทนต่างๆ นานา ทำไมคนไทยบางคนจึงสามารถตีหรือประเมินสิทธิการเลือกตั้งของตนเป็นตัวเงินได้ เรื่องนี้น่าสนใจ และน่าค้นหาคำตอบมากทึ่สุด ทำไมบางพื้นที่จึงได้รับการตีราคาเสียงของตนเป็นเงิน 500 บาท ทำไมบางพื้นที่จึงถูกตีราคาเป็นเงิน 1 หรือ 2 พันบาท ทำไมบางพื้นที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นบ่อน้ำ หรือศาลาพักรอริมทาง เป็นต้น
ทำไมบ้านเราจึงเกิดปรากฏการณ์ส่งเสาไฟไปชิงตำแหน่ง สส. แ้ล้วคนในบางพื้นที่ก็ยังเลือกเสาไฟ (เป็นคำอุปมาเปรียบเทียบนะครับ)
ทำไมคนบ้านเราในบางพื้นที่ยังคงนิยมลูกสาวของนักโทษหนีคดีอาญา ทำไมจึงยังมีคนเชื่อว่า เลือกลูกสาวนักโทษหนีคดีอาญาแล้ว ตนเองจะมีสภาพชีวิตดีขึ้น เศรษฐกิจจะดีขึ้น
หรือทำไมบางคนจึงยังเชื่อว่า ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนเดิม เพราะเขาเป็นคนรักชาติ รักบ้านเมือง และรักสถาบันพระมหากษัตริย์
หรือทำไมเด็กกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมีสิทธิเลือกตั้ง สส. จึงให้เหตุผลในการเลือกว่า เลือกพรรคการเมืองใหม่พรรคหนึ่ง เพราะเชื่อว่าพรรคนั้นจะทำให้ประเทศไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป หรือเชื่อว่า การเกณฑ์ทหารจะหมดไปจากประเทศไทย
แล้วทำไมคนบางจำพวกจึงบอกว่า ไม่รู้จะเลือกใคร เพราะเท่าที่เห็นๆ นั้น ก็ไม่มีใครดีกว่าใครเลยแม้แต่น้อย มีแต่เลวมากกับเลวน้อย หากคนไม่เลยไม่เจอเลย
ก็ในเมื่อการเลือกตั้ง สส. ครั้งล่าสุดนี้ มีพรรคการเมืองตั้ง 70 กว่าพรรคเสนอตัวเป็นทางเลือก แล้วเหตุใดคนไทยจำนวนไม่น้อย ยังบ่นว่าไม่รู้จะเลิกพรรคใด
อันที่จริง การกำหนดให้ตั้งมีการเลือกตั้ง สส. ทุกๆ 4 ปี ก็เป็นเรื่องดีพอสมควร เพราะอย่างน้อย ก็เปิดโอกาสให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ใช้ดุลพินิจเลือกตัวแทนใหม่ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือหากจะยังติดอกติดใจผลงานของรัฐบาลเดิม ก็สามารถเลือกให้คนเดิมกลับมาทำงานต่อได้ ซึ่งการกำหนดระยะเวลาไว้ทุกๆ สี่ปี ก็ช่วยให้สามารถสับเปลี่ยนผู้นำการเมืองได้ หากเห็นว่าผู้นำการเมืองเดิมทำงานโดยปราศจากประสิทธิภาพ ไร้คุณภาพ แล้วยังทำให้ผู้ที่ต้องการเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชนต้องขยันทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และประเทศชาติ
แต่สิ่งที่กล่าวมานั้น ดูเสมือนว่าเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง นักการเมืองในบ้านของเรามีแต่หน้าเก่าๆ ที่ผูกขาดอำนาจการเมืองไว้ในหมู่ของโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลเดิมๆ แล้วส่งต่อให้ลูกหลานของตนเข้ามาผูกขาดอำนาจการเมืองต่อไป ส่วนคนที่ดูเสมือนว่าเป็นคนหน้าใหม่ทางการเมือง บางคนก็มาจากสมุนลิ่วล้อของนักการเมืองหน้าเดิมๆ ครั้นจะมีพวกหน้าใหม่จริงๆ ก็กลายเป็นพวก no name ไร้ผลงานเป็นที่ปรากฏชัด บางรายก็ลงสมัครด้วยเหตุผลแสนประหลาดคือ เพื่อใช้เป็นข้อโฆษณาให้ต้วเอง โดยอ้างได้ว่า ตนเองเป็นผู้เคยสมัคร สส. มาก่อน
ส่วนการหาเสียงในบ้านเรานั้น เท่าที่เห็นชัดๆ คือเกือบทุกพรรคล้วนใช้การโฆษณาชวนเชื่อจนแทบจะไม่ต่างกัน โดยสัญญาว่าจะให้ ให้โน่น ให้นี่ ให้นั่น สัญญาว่าจะให้สารพัดสารเพ แต่ไม่เคยบอกให้ชัดเจนว่า พรรคการเมืองจะหาเงินจากที่ไหนมาเพื่อทำให้คำสัญญาเป็นจริง ดังนั้นการสัญญาแบบพล่อยๆ เป็นคล้ายการพูดเพราะผีเจาะปาก ก็จึงกลายเป็นโฆษณาชวนเชื่อ เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าจะหาเงินจากไหนมาเพื่อทำให้คำที่โฆษณาไว้กลายเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น จึงกลายเป็นเสมือนว่า ช่วงเวลาหาเสียงจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการพูดโกหก ตามแต่จะนึกอย่างโกหก แล้วอ้างว่าคำโกหกนั้นคือนโยบายของพรรค
การอ้างสิ่งที่ทำไม่ได้ และไม่มีวันทำได้จริง ไม่เรียกว่าเป็นนโยบายพรรคการเมือง แต่มันคือคำโฆษณาชวนเชื่อ หรือพูดๆ ชัด คือ คำโกหกมดเท็จ
ตามปกติในประเทศที่พัฒนาแล้ว การเลือกตั้งนับได้ว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งที่ประชาชนได้สัมผัสโดยตรง นอกจากให้บทเรียนตรงกับประชาชนแล้ว ยังเป็นการยืนยันถึงความรับผิดชอบของพรรคการเมือง และนักการเมืองที่มีต่อประชาชน เพราะประชาชนได้เรียนรู้และได้เห็นว่าสิ่งใดที่นักการเมืองพูดแล้วทำได้ หรือทำไม่ได้
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น น่าสมเพชมากตรงที่นักการเมืองโกหกประชาชนมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ก็จะดาหน้ากันออกมาโกหกประชาชน เมื่อเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่มีนักการเมือง หรือพรรคการเมืองไหนรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้ประกาศต่อสาธารณชน บางคนอ้างว่า ทำไม่ได้ เพราะตนเองไม่ได้เป็นรัฐบาล นั่นแสดงว่า การเป็นนักการเมืองไทยคือการจำกัดความไว้แค่เพียงการเป็นรัฐบาลเท่านั้น หากไม่ใช่รัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้อีกเลย ดังนั้น นักการเมืองทุกคนจึงมีความต้องการเป็นรัฐบาลเท่านั้น หากไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็จะเป็นได้อย่างเดียวคือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล หรือผู้ตีรวนรัฐบาล
แน่นอนว่า รัฐบาลย่อมมีอำนาจในการบริหารประเทศ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายค้านก็มีหน้าที่ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านในบ้านของเรานั้น ทำได้แค่เพียงค้านไปเ้สียทุกเรื่องที่รัฐบาลเสนอ ค้านให้ทุกอย่างปั่นป่วน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะส่วนรัฐบาลก็ประหลาดตรงที่ หากขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็ต้องรื้อทุกอย่างที่ดีและมีประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งรัฐบาลเดิมได้ทำไว้ หรือวางแนวทางไว้ ดังนั้น เราจึงเห็นเสมอๆ ว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลแต่ละครั้ง สิ่งที่เขาต้องกระทำอันดับแรกคือ รื้อของเก่าที่รัฐบาลเดิมทำไว้ แม้จะมีประโยชน์มากเพียงใด ก็ไม่นำพา แต่ต้องรื้อทิ้งไปให้หมด แล้วเริ่มต้นโครงการใหม่ เพราะการเริ่มต้นโครงการใหม่ คือการเริ่มนับหนึ่งใหม่ เมื่อนับหนึ่งใหม่ก็หมายความว่าได้รับเงินส่วนแบ่งเข้ากระเป๋าของตนเอง โดยไม่แยแสว่าโครงการเดิมมีประโยชน์ต่อสาธารณชนหรือไม่
การเลือกตั้งควรจะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ สมานฉันท์ แต่น่าสมเพชที่การเลือกตั้งในไทยมิได้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว เพราะหลายครั้งเมื่อการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ก็นำไปสู่สภาพเกือบๆ จะเกิดเหตุมิคสัญญีกลียุค เกือบจะเกิดปัญหาเลือดท่วมท้องช้าง ทำให้บ้านเมืองไร้ความสงบสุขโดยแท้
การเลือกตั้งในประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ผู้ออกเสียงลงคะแนนภาคภูมิใจว่าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบ้านเมือง ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ทำให้เกิดความตระหนักว่า เสียงของตนเองมีส่วนกำหนดทิศทางบ้านเมืองได้ และขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องเคารพเสียงของผู้อื่นที่อาจจะเห็นต่างไปจากตนเอง และทำให้เขาเกิดความหวงแหนในบ้านเมือง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า sense of belonging แต่บ้านเรานั้น มีความน่าประหลาดตรงที่ การเลือกตั้งทำให้เกิดคำถามว่า ครั้งนี้จะได้เงินจากการไปออกเสียงลงคะแนนกี่บาท ใครจะให้มากกว่ากัน
พรรคไหนจะให้เงินเท่าไร ให้หนึ่งหมื่น ให้สามพัน หรือให้เพียงหลักร้อย เมื่อคนจำนวนหนึ่งในบ้านเมืองของเราคิดได้แบบนี้ ก็ทำให้นักการเมืองต่างแข่งกันแจก แข่งกันสัญญาว่าจะให้ สัญญาว่าจะให้สารพัดชนิด ให้ตั้งแต่เงิน ให้การศึกษาจนจบปริญญาตรี ให้การรักษาพยาบาล ให้ได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงราคาถูก ให้ได้ใช้ไฟฟ้าราคาถูก ให้มีงานทำ แล้วสัญญาว่าจะให้อีกสารพัดชนิด ทั้งๆ ที่คำสัญญานั้นล้วนแล้วแต่เลื่อนลอย ไม่มีโอกาสเกิดได้จริงโดยง่าย แต่คนไทยก็ยังคงหลงใหลในคำสัญญาเลื่อยลอยจากนักการเมือง
เลือกตั้ง สส. ที่กำลังจะมาถึงนี้ คุณใช้อะไรในการเลือกตั้งระหว่างใช้สติ หรือว่าต้องรอให้ได้สตางค์ก่อนคุณทราบดีใช่ไหมว่า การลงทุนใดๆ ก็ตาม ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนที่ทำกำไรให้อย่างงดงาม คุณอยากตกเป็นเหยื่อของนักธุรกิจการเมือง ใช่หรือไม่ เรื่องนี้คุณต้องคิดเอาเอง แม้คุณจะไม่อยากคิด แต่คุณจำเป็นต้องคิดหากคุณยังมีสติปัญญาหลงเหลืออยู่บ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี