สำหรับคอการเมือง เกจิอาจารย์ทางการเมือง และผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองโดยทั่วไป คงจะมีข้อยุติเป็นการเห็นพ้องต้องกันว่า ผลการเลือกตั้งทั่วไปของราชอาณาจักรไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ จัดได้ว่าเป็นการปฏิวัติสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง เพราะได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านรูปโฉมและสาระเนื้อหาของการเมืองไทยอย่างกว้างขวาง และเป็นการปฏิเสธ “ของเก่า” ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและความนึกคิดทางการเมือง รวมทั้ง “น้อมรับ” พฤติกรรมและความนึกคิดทางการเมืองแบบใหม่ นั่นคือ :

1.การไม่เอากับสไตล์การเมืองแบบเดิมๆ อีกต่อไปไม่ว่าจะเป็น

- การใช้แต่วาทะที่ไม่มีสาระเนื้อหาและคำชี้แจง ว่าด้วยเหตุและผล

- การเคารพบูชา เชื่อถือตัวบุคคล (Personality Count) หรือผู้ทรงซึ่งอำนาจ (Strong man)

- การตระหนักถึงซึ่งความผิวเผินและไม่ก่อประโยชน์ให้อย่างจริงจังของนโยบายและมาตรการประชานิยม

- การทำงานแบบสุกเอาเผากิน ผักชีโรยหน้า ขาดความกล้าหาญจริงจังที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ

- การใช้ระบบราชการและกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อพิชิตหรือตีกรอบผู้เห็นต่าง

- การไม่พูดจาและสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ชัด

- การเหนื่อยหน่ายและรำคาญกับวิธีการหาเสียง ด้วยรถหาเสียง ป้ายโฆษณา และการชุมนุมปราศรัย

- การพูดจาที่ไร้การเตรียมการ ที่สะท้อนถึงการขาดองค์ความรู้ และความมุ่งมั่น

- ความเหนื่อยหน่ายกับสไตล์การเมืองแบบราชวงศ์การเมือง หรือตระกูลการเมือง บ้านใหญ่บ้านใหม่ ลูกท่านหลานเธอวงศาคณาญาติ ที่เอาผลประโยชน์ของพวกตนและหมู่เหล่าเป็นที่ตั้ง

- การไม่เอาด้วยอีกแล้วกับลัทธิทหารการเมืองนิยม และประสงค์ที่จะให้ฝ่ายกองทัพเป็นมืออาชีพปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศแต่เพียงอย่างเดียว และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายใน ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายพลเรือน และประชาชน เป็นต้น

2.การชื่นชอบและสนับสนุนวิธีและบทบาททางการเมืองแบบใหม่

- การนำเอาเรื่องสำคัญๆ ที่เป็นประเด็นปัญหา ที่มีความเห็นต่างและขัดแย้งกัน ขึ้นมาเสนอ และ อำนวยให้มีการพูดจากัน เพื่อมีข้อยุติร่วมกัน

- การมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น (Change for the better)

- ฝ่ายการเมืองคือ ผู้อาสาเข้ามารับใช้ประเทศชาติเท่านั้น และจะเป็นอื่นใดมิได้

- การอยากรู้อยากเห็น และรับทราบว่า ฝ่ายการเมืองมีความคิดเห็นเช่นใดเกี่ยวกับสถานะของประเทศไทย และที่ยืนในเวทีระหว่างประเทศ หรือในโลกกว้าง

- การเตรียมตัวทางการเมืองที่เป็นแบบการร่วมคิดร่วมทำ และการเปิดโอกาสให้ประชาชนพลเมือง มีส่วนร่วม
ไม่ใช่การเมืองแบบ “พระเอกขี่ม้าขาว” หรือ “ท่านผู้นำ นำพา”

เมื่อประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ได้ให้ฉันทามติต่อบรรดาพรรคการเมืองที่มีคุณสมบัติ “ความคิดใหม่และทำใหม่” แล้ว ก็เป็นเรื่องที่คณะรัฐบาลผสมชุดใหม่พึงจะต้องตอบสนอง และกระทำการงานอย่างจริงจังไม่เอาแต่สาละวนกับเรื่อง “การเอาคืน/ความแค้น” หรือการเผชิญหน้าเผด็จศึกกันให้ถึงที่สุด แต่เป็นการเมืองแบบออมชอม ถ้อยทีถ้อยอาศัย และหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง เพื่อให้รัฐนาวาไทยสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและสง่างาม

ทั้งนี้ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ก็ต้องมีการพิจารณาทบทวนตนเอง และปรับเปลี่ยนแก้ไขไปในทิศทางที่สร้างสรรค์

แม้ว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะพ่ายแพ้และต้องปรับปรุงตัวดังกล่าวแล้ว ก็มีข้อสังเกตว่าพรรคการเมืองที่พ่ายแพ้สูญเสียที่นั่งอย่างมากมาย คะแนนนิยมตกต่ำไปอย่างมากด้วยก็คือ พรรคเพื่อไทย ที่จะมัวอ้างว่าตนเองกุมชัยชนะก็ดูกระไรอยู่ เพราะบัดนี้ก็ต้องเกาะชายกระโปรงพรรคก้าวหน้า เพื่อให้มีสถานะในเวทีการเมืองต่อไปด้วยความจำเป็น และด้วยการถ่อมเนื้อถ่อมตัว

ทั้งหมดนี้ประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ได้ใช้สิทธิทางการเมืองด้วยบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ตัดสินใจที่จะปฏิวัติสังคมการเมืองไทยภายใต้กรอบและทิศทางของราชอาณาจักรไทยที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบและเป็นสากล

ก็หวังว่าคณะรัฐบาลชุดใหม่และพรรคการเมืองที่มีอำนาจรัฐแล้ว จะตอบสนองและปฏิบัติตนเพื่อประชาชนพลเมืองอย่างจริงใจและจริงจัง ไม่หลงระเริงอยู่ในอำนาจวาสนา และสาละวนอยู่กับผลประโยชน์ของพวกตนและหมู่เหล่า

โอกาสที่ราชอาณาจักรไทยจะ “แต่งงาน” กับประชาธิปไตยได้อย่างจริงจังก็ได้มาถึงแล้ว และพรรคการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่จะต้องไม่นำมาซึ่งความผิดหวังให้กับชาวไทยอีก

ความสง่างาม ความน่านับถือ ความผาสุกและความเจริญก้าวหน้าของราชอาณาจักรไทยก็รออยู่ เพราะการปฏิวัติสังคมได้เริ่มขึ้นแล้วในวันนี้ ขอให้ประเทศไทยโชคดี

กษิต ภิรมย์

kasitfb@gmail.com