การที่จีนสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับความร่ำรวยมหาศาลในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้จีนมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างสูง ถึงขั้นที่ได้ประกาศว่าจะขึ้นมายิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกแทนสหรัฐอเมริกา และจะเป็นผู้นำความเป็นไปในโลกกว้างตามแนวความคิดของจีนว่า จะไม่เอาด้วยและล้มเลิกระบบระเบียบของโลกที่ฝ่ายสหรัฐฯ และโลกตะวันตกได้เป็นผู้กำหนด ก่อตั้ง และควบคุมตั้งแต่การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจีนก็ได้เสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารและกิจการอวกาศ เร่งพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเร่งสร้างมิตร สร้างแนวร่วม ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและการลงทุน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ
จีนนั้นมีเป้าประสงค์ที่จะขจัดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก และปิดกั้นแนวคิดฝ่ายตะวันตกว่าด้วยประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนและปิดกั้นมิให้วิถีชีวิต (Life Style) และความคิดความอ่านค่านิยม (Norms and Values) สามารถเข้ามากรีดกรายในแผ่นดินจีน
ถ้าพูดกันตามภาษาชาวบ้านก็ถือว่า จีนท้าดวลกับสหรัฐฯ แบบหนังคาวบอย หรือไม่ก็ทำการท้าทายแบบสไตล์ยุโรปสมัยโบราณ ที่มีการถอดถุงมือโยนลงไปบนพื้นเพื่อท้าทายอีกฝ่ายหนึ่ง และถ้าฝ่ายนั้นถอดถุงมือลงมา ก็เท่ากับเป็นการรับคำท้า และทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องดวลดาบต่อกันให้รู้แล้วรู้รอด
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา จีนก็โลดแล่นไปทั่วโลกด้วยความผยอง และทะนงตน ไม่เกรงกลัวใคร เรียกว่าฝ่ายตะวันตกไปไหน ฉันตามไปด้วย จีนก็ได้ทำการรุกหนักขึ้นเป็นลำดับ เพราะคิดว่า สหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตก คงไม่กล้าท้าตีท้าต่อย เนื่องจากมีปัญหาแตกแยกภายใน และในขณะเดียวกันประเทศต่างๆ ก็มีความอึดอัด หรือไม่พึงพอใจที่ฝ่ายสหรัฐฯ และโลกตะวันตก มักจะมาจ้ำจี้จ้ำไชในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน หรือไม่ก็เข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน เพื่อให้ได้รัฐบาลที่จะคล้อยตามฝ่ายสหรัฐฯ และโลกตะวันตก หรือไม่ก็ตั้งกฎเกณฑ์และวางระบบการให้คะแนนเพื่อประเมินฝีไม้ลายมือ หรือความไม่ดีงามของประเทศต่างๆ
ในการนี้ จีนเห็นโอกาสที่จะเสริมสร้างสมัครพรรคพวกเพื่อลดหรือขจัดอิทธิพลของฝ่ายสหรัฐฯ และโลกตะวันตกพร้อมกับการเสนอให้ประเทศต่างๆ ดูความสำเร็จของจีนด้วยระบบพรรคการเมืองพรรคเดียวเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่ก็สร้างเสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
และสังคมได้ เป็นแบบอย่างที่ดีและเหนือกว่าแบบอย่างของสังคมประชาธิปไตยและสังคมทุนนิยมของฝ่ายโลกตะวันตก
แต่มาบัดนี้ สหรัฐฯ ฝ่ายตะวันตก ไปจนถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินเดีย ได้เริ่มผนึกกำลังกันเพื่อต่อกรกับจีนในทุกด้าน ไม่ว่าจะในเรื่องของการเมืองความมั่นคง การทหาร การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอุตสาหกรรมต่างๆ ให้รุดหน้าและก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น โดยต่างมุ่งตัดจีนออกจากวงจรระบบและอุตสาหกรรมสื่อสารสมัยใหม่ เพื่อทิ้งห่างจีน และเพื่อมิให้จีนได้มีโอกาสมาซื้อ มาใช้มาบริโภค หรือมาแอบโจรกรรม ลักขโมย องค์ความรู้ต่างๆ อีกต่อไป ซึ่งก็หมายความว่า จีนจะต้องพึ่งตัวเองมากยิ่งขึ้น จะมีก็แค่รัสเซียเท่านั้น ที่ยังจะร่วมด้วยช่วยกัน
ล่าสุดประธานาธิบดี ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรี โมดี แห่งอินเดีย ก็จะเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ที่กรุงพอร์ตมอร์สบี ของประเทศปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นการแสดงออกว่า จะไม่ปล่อยให้จีนมาเล่นแร่แปรธาตุกับประเทศเหล่านี้แต่ผู้เดียว นอกจากนั้นญี่ปุ่นพันธมิตรอันสำคัญยิ่งของสหรัฐฯ ก็ได้จัดส่งนายกรัฐมนตรีและคณะไปเยือนอียิปต์ กานา เคนยา และโมซัมบิก ในทวีปแอฟริกา และในระยะเวลาใกล้ๆ กัน รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นก็ได้เดินทางไปประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน และไปเยือนประเทศในอเมริกาใต้ เพื่อบ่งบอกว่า จีนไปไหน ญี่ปุ่นก็จะตามไปด้วย โดยตั้งแต่นี้ กลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยเหล่านี้ก็จะปล่อยไม่ให้จีนโลดแล่นอยู่แต่ฝ่ายเดียว
ที่สหรัฐอเมริกา แม้ว่าแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ จะแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งประเด็นปัญหาว่าด้วยแรงงานต่างด้าว และผู้อพยพลี้ภัย แต่ทั้ง พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกันต่างก็มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการที่จะได้เห็นสหรัฐฯ ต่อกรกับจีน ไม่ว่าจะที่แห่งหนใดก็ตาม โดยสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องจีนเป็นการเฉพาะ ในทำนอง “เพื่อเอาจีนให้อยู่”
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จีนก็คงตระหนักแล้วว่า ตนกำลังเผชิญกับแรงต้านทาน ต่อต้านอย่างแข็งขัน เป็นหนึ่งเดียวกันของฝ่ายสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก และพันธมิตรในเอเชียแปซิฟิก อย่างที่จีนไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของจีนก็มีความถดถอย โดยเฉพาะกิจการการทำมาค้าขายของวิสาหกิจรัฐที่ไม่ก่อให้เกิดกำไร ไปจนถึงอุตสาหกรรมการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่ล้มเหลว ขาดทุน ล้มละลายไปอย่างมาก (อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีมูลค่าถึง 28% เทียบมูลค่าเศรษฐกิจทั้งประเทศ) อีกทั้งอัตราการเกิดของพลเมืองก็ต่ำ และจำนวนคนชราก็มากขึ้น กลายเป็นภาระต่องบประมาและค่าใช้จ่ายต่อกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ และแล้วก็มีประเด็นปัญหาจากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19 และการถดถอยของเศรษฐกิจโลกทั่วไป โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการคว่ำบาตรต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของจีน และการตามมาซึ่งการลดรายได้ต่างๆ จะทำให้จีนเริ่มขาดความคล่องตัวในการสร้างแสนยานุภาพทางการทหาร การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การดูแลกลุ่มคนผู้สูงอายุ และการสวัสดิการสังคม รวมไปถึงการต้องแก้ปัญหาหนี้สิน และการล้มละลายต่างๆ ซึ่งก็หมายความว่า จีนจะทำตัวอย่างคล่องตัว สะดวกสบายอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
ฉะนั้นผู้นำจีนก็จะต้องทบทวนท่าทีทั้งหมด ทบทวนสมรรถนะและขีดความสามารถของจีน และจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของภารกิจต่างๆ นานาผู้นำจีนก็ต้องคิดด้วยว่าการที่ได้เลือกแนวทางของการแข่งขันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา การเผชิญหน้าและการใช้จ่ายแบบไม่อั้นนั้น คงจะทำต่อไปอีกไม่ได้และฉะนั้นจีนจะต้องพิจารณามุ่งไปสู่ในทิศทางของความร่วมมือและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี