รายงานข่าวระบุว่า ร่างเอ็มโอยูประกาศจัดตั้งรัฐบาล 313 เสียง นำจัดตั้งโดยพรรคก้าวไกล
มุ่งปั้นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ประกอบด้วย 8 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคก้าวไกล (152 ที่นั่ง), พรรคเพื่อไทย (141 ที่นั่ง), พรรคประชาชาติ (9 ที่นั่ง), พรรคไทยสร้างไทย (6 ที่นั่ง), พรรคเพื่อไทรวมพลัง (2 ที่นั่ง), พรรคเสรีรวมไทย (1 ที่นั่ง), พรรคเป็นธรรม (1 ที่นั่ง) และพรรคพลังสังคมใหม่ (1 ที่นั่ง)
ในร่างเอ็มโอยูนั้น ได้ซุกซ่อนการแก้ มาตรา 112
ทั้งๆ ที่ เป็นนโยบายหลักของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างก้าวไกล
เจตนาไม่แสดงให้ปรากฏในเอ็มโอยู
จะด้วยความละอาย ขายขี้หน้า
หรือรู้ว่าถ้าใส่แล้ว สังคมไทยจะไม่เอาด้วย ไม่สนับสนุน
หรือถ้าใส่ไว้แล้วพรรคการเมืองที่เสนอหน้ามาร่วมรัฐบาล จะเข้าหน้าไม่ติด เพราะหาเสียงกับชาวบ้านไว้อีกอย่าง
แต่รวมแล้ว การไม่ใส่เรื่องแก้มาตรา 112 ตามแนวทางแบบก้าวไกล (คือ ลดโทษ เอาออกจากหมวดความมั่นคง ให้สำนักพระราชวังเท่านั้นเป็นเจ้าทุกข์ ประกาศจัดตั้งรัฐบาล 313 เสียง) มันก็คือการโกหก ตอแหลกับประชาชนครั้งใหญ่
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักการเมือง พรรคการเมือง หน้าด้านถึงขนาดโกหกตอแหลตั้งแต่วันเริ่มประกาศจัดตั้งรัฐบาล!!!!
1. เนื้อหาตามร่าง MOU นั้น ระบุภารกิจของรัฐบาล อาทิ
จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนให้เร็วที่สุด โดยมีสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิ์สมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ (อ้างว่าจะไม่บังคับประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการศาสนาที่ตนเองนับถือ)
เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ
ทบทวนภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ ฯลฯ
ไม่ใส่เรื่องการแก้มาตรา 112 !!!!
2. ในความเป็นจริง พรรคก้าวไกล ตั้งแต่ผู้ช่วยหาเสียง หัวหน้าพรรค แคนดิเดตนายกฯของพรรค ยันลูกพรรค
ยังยืนยันว่า จะดำเนินการแก้มาตรา 112 ตามแนวทางข้างต้นแน่นอน
3. แต่พอแถลงตั้งรัฐบาล ประกาศเอ็มโอยู กลับรวมหัวกันหลอกลวงสังคม
หลอกตัวเอง หลอกสังคม ว่าไม่ระบุถึงเรื่องมาตรา 112
อ้างว่า เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล
แต่ในความเป็นจริง พรรคก้าวไกล คือ แกนนำจัดตั้งรัฐบาล
หัวหน้าพรรคก้าวไกล คือ คนที่จะเป็นผู้นำประเทศ เป็นหัวหน้ารัฐบาล
เสมือนเป็นกัปตันเรือ รัฐนาวาไทย
เมื่อผู้นำประเทศประกาศเจตจำนงว่าจะขับเคลื่อนแก้ไขมาตรา 112 รวมทั้งนิรโทษกรรมคดี 112 แล้วพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วย จะยังหน้าด้านไปยกมือสนับสนุนให้เป็นผู้นำประเทศ
อ้างว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่เขาประกาศจะดำเนินการ แต่กลับไปยกมือ เป็นฝีพายให้เขา
ทุเรศสิ้นดี
4. พูดตรงๆ มีแต่ “ควาย”เท่านั้น ที่ไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลจะแก้ 112
สส. และ สว. ที่จะไปยกมือสนับสนุนผู้นำพรรคเขาเป็นนายกฯ เป็นผู้นำประเทศ โดยอ้างแค่ว่า เรื่องแก้ 112 ไม่มีในเอ็มโอยู นี่ยิ่งกว่า “ควาย”
5. ยิ่งถ้าสืบย้อนไปยังต้นธารความคิดที่จะแก้ มาตรา 112
อย่ามาตีหน้าเซ่อ .อแหล ว่าจะทำเพื่อให้สถาบันมั่นคงสถาพรเลย
มันมาจากคณะก้าวหน้า “สานต่อแนวทางคณะราษฎร” ต่อมาจากม็อบสามนิ้ว ที่ผลักดันข้อเสนอที่อ้างว่า “ปฏิรูปสถาบัน” แต่ไม่สำเร็จ
เพราะสังคมไม่เอาด้วย และขัดรัฐธรรมนูญ
จึงเอามาบางส่วนก่อน คือ การแก้มาตรา 112 ตามแนวทางที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งชัดเจนว่าจะเปิดโอกาสให้คนจาบจ้วงสถาบันมากขึ้น บั่นเซาะทำลายมากขึ้น
6. ณัฐนันท์ กัลยาศิริ - ทนายบอน ระบุว่า “ก้าวไกล แก้ไขมาตรา 112 เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์!? จริงหรือไม่” ให้กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา รู้ให้ทัน
1. ดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ลดโทษเหลือจำคุกไม่เกิน 1 ปี (เดิม 3-15 ปี)
2. ดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลดโทษเหลือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน (เดิม 3-15 ปี)
3. ถ้าอ้างว่าติชมโดยสุจริตอาจไม่มีความผิด ถ้าพิสูจน์ได้ว่าจริงไม่ต้องรับโทษ
4. นำฐานความผิดตามข้อ 1 และข้อ 2 ออกจากความมั่นคง กำหนดให้เป็นความผิด “ยอมความได้” (เดิมเป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้) และให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีสิทธิร้องทุกข์เท่านั้น
5. พ่วงด้วยแพ็กเกจ “เสรีภาพในการก่นด่า” ดูหมิ่นศาล ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ดูหมิ่นหมิ่นประมาทใครก็ตาม ยกเลิกโทษจำคุก ทั้งหมด!
“ความเห็นส่วนตัว”
1. ขนาด 112 เดิมโทษสูง ยังมีการดูหมิ่น จาบจ้วง ใส่ร้าย กันอย่างหนัก แล้วลดโทษจำคุกให้เหลือไม่เกิน 1 ปี จะขนาดไหน ไม่ต้องคิด
2. เปิดช่องให้อ้างความ “สุจริต” หรืออ้างว่าเป็น “เรื่องจริง” เพื่อยกเว้นความผิดหรือยกเว้นโทษในการดูหมิ่นจาบจ้วงได้ ยิ่งสนุกปากกันเข้าไปใหญ่
3. กำหนดให้ “สำนักพระราชวัง” เท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เท่ากับการดึงสถาบันมาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนโดยตรง
4. ยกเลิกโทษจำคุกการดูหมิ่นผู้พิพากษา เจ้าพนักงาน ทั้งหมดเปิดโอกาสให้โจมตีใส่ร้ายศาล อัยการ เจ้าพนักงานได้อย่างเต็มเหนี่ยว
สรุป สิ่งที่จะเกิดขึ้น (ความเห็นส่วนตัว)
1. จะเกิดการดูหมิ่น ใส่ร้าย จาบจ้วงสถาบันอย่างกว้างขวาง
2. โดนสำนักพระราชวังแจ้งความ ก็จะก่นด่าว่าในหลวงรังแกประชาชน ด่าตำรวจที่มาจับ ด่าอัยการที่สั่งฟ้อง ด่าศาลที่พิพากษาคดี เพราะไม่มีโทษจำคุกที่ด่าศาล ด่าเจ้าพนักงาน มีแต่โทษปรับ ถ้ามีนายทุนที่จ้องล้มสถาบันคอยจ่าย ก็ไม่ยี่หระ
3. ในศาลก็จะอ้างว่า “สุจริต” อ้างว่า “เรื่องจริง” เผื่อฟลุ๊ครอด ถ้ารอดก็ออกไปโพนทะนาว่าชั้นพูดเรื่องจริง ถ้าไม่รอดก็ถือว่าได้ด่าสถาบันซ้ำอีกในศาล
4. แล้วถ้าไม่รอดก็จะขอ “ยอมความ” ขอให้สถาบัน โดยสำนักพระราชวังยกโทษให้ ถ้าสำนักพระราชวังยกโทษยอมความก็รอด ถ้าไม่ยอมความให้ ก็เอาไปก่นด่าได้อีกว่าสถาบันรังแกประชาชน
5. จบข้อ 4 วนมาข้อ 1 ใหม่ ซ้ำๆ อย่างกว้างขวาง
อ่านมาถึงตรงนี้ ความเห็นส่วนตัวจากร่างกฎหมายนี้ และจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ผม “เชื่อไม่ลงจริงๆ” ว่านี่คือความหวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์...”
7. สุดท้าย ขอชื่นชมจุดยืนวิธีคิดพิจารณาในการทำหน้าที่เลือกนายกฯ ของ สว.ถวิล เปลี่ยนศรี ระบุว่า
“...เวลาผมจะไปลงคะแนนเสียง หรือลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นั้น
1/ ประการแรก ผมทำตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด ถ้ารัฐธรรมนูญไม่กำหนด ผมก็ไม่ไปทำภารกิจนี้
2/ ประการที่สอง จำเป็นหรือไม่ที่ผมต้องโหวตให้เป็นไปตามเสียงของ สส.ส่วนใหญ่หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น เพราะถ้าต้องโหวตตาม ก็ไม่ต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญ ให้ผม สว. ไปโหวตด้วย
แต่นี่ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะโหวตสวน หรือไม่เหมือน สส. ส่วนใหญ่นะแต่หมายความว่า อาจเหมือนหรือไม่เหมือนก็ได้ เพียงแต่อย่ามัดมือมัดเท้าผม ขอให้เป็นการตัดสินใจของผมได้มั้ย
3/ ประการที่สาม ภารกิจนี้ ผมถือเป็นหน้าที่ ไม่ใช่สิทธิ์ สิทธิ์ใช้ยังไงก็ได้เพราะเป็นสิทธิ์ของเรา กระทบเราเป็นหลัก แต่หน้าที่นี่ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเป็นหน้าที่ต่อคนอื่น ทำให้คนอื่น ซึ่งในที่นี้ คือ ประเทศ และ ประชาชนทั้งประเทศ เพราะเขาต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะประชาชนที่เลือกเขา ดังนั้นต้องทำให้ดี ให้เหมาะสม ถูกต้องที่สุด
4/ เวลาไปโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นั้น ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ คือ ไม่ได้ไปดูว่าเขาป๊อปปูลาร์ แค่ไหน ได้เสียงมามากน้อยแค่ไหน แต่ไปดูว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีได้หรือไม่ มีภาวะผู้นำ มีความคิด วิสัยทัศน์ และนโยบาย และแนวทางในการบริหารอย่างไร จะนำพาชาติบ้านเมืองไปได้หรือไม่
ถ้ามีคู่แข่ง ผมก็เปรียบเทียบกับคู่แข่ง แล้วก็ตัดสินใจไปตามหลักการนั้น
ก็ขออนุญาต ให้ความเห็นที่ผมจะใช้ในการตัดสินใจ เมื่อเวลามาถึงครับ”
ขอแสดงความคารวะ ไม่ว่าท่าน สว.จะเลือกใคร ด้วยหลักการที่กล่าวนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี