พรรคก้าวไกล และพรรคพันธมิตรอีก 7 พรรค กำลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ของราชอาณาจักรไทย และน่าจะมีโอกาสเป็นรัฐบาลหากไม่มีอุบัติเหตุอันไม่คาดฝันขึ้นมาขัดขวาง
หากสำเร็จ พรรคก้าวไกล และพรรคพันธมิตร ก็จะเป็นรัฐบาลผสมที่มีเสียงข้างมากอย่างท่วมท้นจำนวน 300 กว่าที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด 500 ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าได้รับฉันทามติจากประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่ที่ได้ออกไปใช้สิทธิเสรีภาพหรือสิทธิพลเมืองในการหย่อนบัตรเลือกตั้ง เพื่อเลือกตัวแทนไปจัดการบริหารบ้านเมืองเพื่อความผาสุก ความเจริญก้าวหน้า และความสงบสุข ของผู้คนและสังคมไทย
เสียงประชาชนดังกล่าวนี้ ถือเป็นการมอบหมายให้คณะรัฐบาลไปทำงานทำการ ซึ่งในการทำงานนี้ก็ต้องรู้ประเด็นปัญหาของประเทศ จะต้องรับฟัง และปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งร่วมมือกันเพื่อจะขับเคลื่อนให้ประเทศชาติสามารถก้าวต่อไปได้
แต่การมีเสียงส่วนใหญ่ในสภา หรือการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนพลเมืองดังกล่าวนั้น มิได้หมายความว่าเป็นการได้รับอำนาจไปใช้แบบเบ็ดเสร็จ หรือผูกขาดอำนาจที่จะทำการใดๆ ตามอำเภอใจไม่ต้องฟังใคร สามารถ “ลุย” ไปข้างหน้าอย่างปิดหูปิดตา
ในหลักประชาธิปไตยแล้วก็มีวลีว่า “The Majority Rule and the Minority Right” นั่นคือฝ่ายรัฐบาลต้องฟังเสียงของฝ่ายค้านด้วย และจะต้องหาข้อยุติร่วมกัน จะใช้เสียงข้างมากเป็นเผด็จการเสียงข้างมากไม่ได้ ซึ่งวลีดังกล่าวนั้นก็มีนัยว่า ทุกหมู่เหล่าก็สามารถที่จะมีส่วนร่วมได้ (Inclusive) และฉะนั้นฝ่ายรัฐบาลก็จะดำเนินการแบบไม่เอาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเลยก็ไม่ได้ (Exclusive)
ในสังคมไทย สถาบันสภาหรือรัฐสภา รวมทั้งพรรคการเมืองต่างๆ ก็จัดได้ว่าเป็น “ผู้เล่น” ทางด้านการบ้านการเมืองหนึ่ง แต่ในสังคมไทยซึ่งก็เหมือนกับสังคมประเทศอื่น ที่มี “ผู้เล่น” อื่นๆ ร่วมด้วย ที่จะต้องเข้ามามีส่วนในเรื่องการบ้านการเมือง เช่น ฝ่ายกองทัพ ฝ่ายข้าราชการพลเรือน ฝ่ายวิสาหกิจรัฐ ฝ่ายศาสนา ฝ่ายวิชาชีพ ฝ่ายแรงงาน ฝ่ายธุรกิจอิสระรายเล็กรายน้อย ฝ่ายบริษัทห้างร้าน ฝ่ายเกษตรกรแรงงาน ฝ่ายแรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมแรงงาน เป็นต้น
ฉะนั้น คณะรัฐบาลใดๆ แม้ว่าจะมีนโยบายหาเสียงแล้ว และจะมีโอกาสนำนโยบายต่างๆ เหล่านั้นไปสู่การปฏิบัติ แต่ก็ยังจะตัดสินใจเป็นเด็ดขาดด้วยตนเองมิได้ หากควรจะต้องปรึกษาหารือกับผู้เล่นต่างๆ ดังกล่าว ตามกรณีหรือเรื่องราวในรายละเอียดเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน
ยกตัวอย่าง การปฏิรูปกองทัพ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่กองทัพจะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อให้มีความทันสมัย ถือเป็นหน้าที่ของกองทัพเองอยู่แล้ว แต่ก็อยู่ในวิสัยที่จะได้รับการปรึกษาหารือจากฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น เพื่อจะได้เสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจต่อประเด็นปัญหาความท้าทาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็นกองทัพที่จะมีความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง และสามารถป้องกันประเทศได้ หรือแม้กระทั่งจะมีความพร้อมที่จะเข้าไปร่วมมือในกองกำลังรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ได้
หรืออีกมุมหนึ่ง ถ้าจะไม่มีระบบการเกณฑ์ทหาร ก็มีคำถามว่า เยาวชนไทยทั้งหญิงและชายควรจะมีภาระหน้าที่หรือรับใช้ประเทศชาติ ที่เรียกว่า
National Service หรือไม่? นั่นคือจะไปสมัครเข้าไปเป็นทหาร เข้าไปเป็นกองรักษาดินแดน เข้าไป
เป็นพนักงานหน่วยกู้ภัยสาธารณะ พนักงานผู้ช่วยด้านสาธารณสุข และด้านสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ก็เป็นได้ ซึ่งบ่งบอกว่า จะไม่มีการเลือกปฏิบัติระหว่างเยาวชนคนหนุ่มสาวเพศหญิงเพศชาย หรือแม้กระทั่งเพศที่สาม และการรับใช้ชาติในกรอบ National Service นี้ ก็ต้องถือว่าเป็นหน้าที่พลเมือง และน่าที่จะเป็นเรื่องภูมิอกภูมิใจและเป็นขวัญกำลังใจ
การจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดๆ เพื่อให้ดีขึ้น เป็นเรื่องที่ดีและน่ากระทำ แต่ก็ต้องคำนึงถึงวิธีการเป็นสำคัญที่จะต้องมีการเปิดรับฟัง เปิดเวทีหารือ ร่วมคิด ร่วมหาข้อยุติกัน (Consultation หรือ Deliberation) เยี่ยงมนุษย์ที่มีความเป็นศิวิไลซ์ และมีความรักชาติบ้านเมืองร่วมกัน
ทั้งหมดนี้ ความถ่อมเนื้อถ่อมตัว สุขุมคัมภีรภาพ เป็นเรื่องน่าพึงปรารถนา และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินการ ส่วนความกร่าง ความก้าวร้าว ความยึดมั่นถือมั่น นั้นย่อมไม่อยู่ในวิสัยของผู้ที่ได้อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง ควรจะต้องละ ลด และเลิก เพื่อก่อให้เกิดการร่วมมือร่วมใจกันของคนทั้งชาติ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี