l ความเชื่อ มีทั้งเรื่องดี และไม่ดี และมีทั้งเป็นเรื่องจริงและไม่จริงแต่ “ความเชื่อ” มีอิทธิพลต่อคน และสังคมมากมีทั้งผลดี และผลเสีย ทั้งเล็กๆ และใหญ่โตมโหฬาร
ปัญหาสำคัญ คือ “ความเชื่อ” มักขาดเหตุผล และไม่ใช้สติปัญญา มารองรับ
l ความจริง ดูเป็นเรื่องดี มีเหตุผลแต่การแสวงหาความจริง ในแต่ละสังคมต่างกัน
๑. สังคมที่หาความจริงได้ง่าย
(๑) เป็นสังคมที่มีคุณภาพ และมีคนที่มีคุณภาพ (Active Citizen)
คนคุณภาพในที่นี้หมายถึงคนดีและเก่ง ใช้ความดีเป็นกรอบ และใช้ความเก่งเป็นพลังขับเคลื่อนให้องค์กร หรือชุมชนนั้นอยู่รอดและพัฒนาต่อไปได้ ดังนั้นยอดปรารถนาของสังคมหรือขององค์กรปัจจุบัน จึงพุ่งตรงไปสู่การแสวงหาและพัฒนาสมาชิกให้เป็นคนคุณภาพ ปัจจัย ๑ ที่จะทำให้มีคนคุณภาพได้ก็คือการศึกษา
(๒) สังคมที่มีธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ
การปกครอง การบริหาร การจัดการการควบคุมดูแล กิจการต่างๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี
หลักธรรมาภิบาลนั้นประกอบด้วย 6 หลักการ คือ
1. หลักคุณธรรม
2. หลักนิติธรรม
3. หลักความโปร่งใส
4. หลักความมีส่วนร่วม
5. หลักความรับผิดชอบ
6. หลักความคุ้มค่า
(๓) สังคมทั่วไป เป็นสังคมที่หาความจริงได้ยาก
l เฒ่า๑: จะสนใจมองหา “ความเชื่อ” บนเส้นทางเดินของชีวิต ทั้งในเมือง และป่าเขาในชนบท
(๑) ความเชื่อ ที่เกิดจากการศึกษา หาความรู้จากประวัติศาสตร์ และบุคคลสำคัญที่ตนชื่นชอบและจะใช้“ชีวิต” เดินไปตามสิ่งที่ตนเชื่อ อีกด้านหนึ่ง คือ “ความเชื่อด้านกลับ” คือ การไม่ชอบไม่พอใจในเรื่องหนึ่ง สังคมหนึ่งที่มีระบบและโครงสร้างที่ไม่เสมอภาคเป็นธรรม, มีการเอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่จากคนส่วนน้อย ที่มีอำนาจ มีฐานะ อิทธิพลที่เหนือกว่า ความไม่ชอบสิ่งนั้น สังคมนั้น ทำให้เขาไปจับคว้า ใน “ความเชื่ออื่น “ ที่วิพากษ์วิจารณ์ ความเชื่อที่ตนไม่ชอบเขาจึงเกิดความคิดว่า “ความเชื่อ ๑” ที่คัดค้าน ปฏิเสธ สังคมนั้น เป็นความคิดที่ถูก
(๒) ชีวิตของเขา ผิดหวัง ไม่สมหวังมามากเพราะ “ต้นไม้แห่งความเชื่อ” ไม่เติบโตอีกทั้งคนส่วนหนึ่ง ที่มีกรอบความเชื่อเช่นนี้ มักจะมีภูมิหลัง ของชีวิตตนและครอบครัวมีปัญหา ไม่ว่า “ความยากจน การเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในชีวิตและการทำงาน” และการมีความคิดท่าทีท่วงทำนองเอาตัวเองเป็นใหญ่ และเข้ากับคนอื่นๆ ได้ยากแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ คงมุมานะ คิดและทำ ตามความเชื่อมาตลอด ทั้งทางตรงและทางอ้อมนานๆ สักที เมื่อ “มีฝนตกใหญ่” เขาก็จะมีความสุข สดชื่น เพราะ “ต้นไม้ฯเริ่มเติบโตขึ้น”
(๓) เมื่อเจอ “สิ่งที่เชื่อ” เขาจะดีใจ มีความสุข และคิดฝันไปว่า “ชีวิตและสังคมจะดีขึ้น”
หากเขาและคนหนุ่มสาว ทำให้สิ่งที่เชื่อ “งอกงามไปทั่วแผ่นดิน”
“ความเชื่อ” จะพัฒนาสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น ตามความเชื่อของเขา
(๔) เขา มีสิ่งที่ต้องทำในชีวิต คือ : เผยแพร่“ความเชื่อ” ไปสู่เพื่อนมิตรให้มากขึ้น แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับ “ความเชื่อของเขา”ยิ่งเมื่อเขา เฒ่าชรา เรี่ยวแรงน้อยลง ความฝันของเขาดูเหมือนหลุดลอยไป
(๕) แต่เขา ไม่ท้อถอยยอมแพ้ เขามุ่งหน้าไปยัง“คนหนุ่มสาว” ที่บริสุทธิ์ ค่อยๆ เผยแพร่ ใส่ความคิดตาม “ความเชื่อ” ลงไปในผ้าขาวของคนหนุ่มสาวเขาไม่ค่อยได้ประเมิน “ความถูกผิด ความถูกต้องชอบธรรม”ในความเชื่อของเขาคิดแต่ว่า “เขาถูก” คนอื่นที่คิดต่างจากเขา “ผิด” เขาและพวกของเขา จึงมีพลังเอาจริง ทำทุกอย่างเพื่อเผยแพร่ ความคิดไปสู่ตนหนุ่มสาว และสังคม
(๖) เขาเริ่มไม่สนใจ “ความถูกผิด” ที่ไม่สำคัญเท่ากับ “การทำให้ความเชื่อของเขา” ชนะศึกการไม่พูดโกหกมดเท็จ การแสดงความเคารพความเห็นต่างกลายเป็นเรื่องรอง ของ “การแพ้การชนะ” เพราะ “หลังจากเสร็จศึก” ความถูกผิด อยู่ที่ผู้ชนะ ที่สำคัญ คือ“เขาไม่ได้เดินตามรอย บรรพบุรุษของเขา” ที่คิดถึงพระคุณของแผ่นดินและสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ให้โอกาสและชีวิตของเขาที่ได้ดิบได้ดี มีวันนี้ ที่ฐานะความเป็นอยู่ของเขาดีกว่า “คนส่วนใหญ่ในแผ่นดิน”
(๗) วันนี้เขามีความสุขล้น แสดงออกนอกหน้าที่ “ความเชื่อ” ปรากฏเป็นจริงขึ้นหลายเรื่องที่ซ่อนอยู่ในใจปรากฏขึ้นจากการแสดงออกของเขา เขาออกมาเชียร์ และชื่นชม “หนุ่มสาวส่วนหนึ่ง” กลุ่มที่ชนะ อย่างออกหน้าออกตา เขาวิพากษ์วิจารณ์ “เพื่อนมิตร” ที่เห็นต่างออกไป และไม่เห็นด้วยกับ “ความเชื่อ” ของเขาความเป็นมิตร ความรักต่อกันลดลง เพราะเขาเริ่มขาดความเคารพในความเห็นต่างของผู้อื่น
(๘) เขา ซึ่งเป็นคนชอบศึกษาค้นคว้า และเก่งในหลายเรื่องแต่จะพลาดไป ที่ไม่ศึกษาประวัติ เกี่ยวกับ “ความเชื่อ” ของเขา “ถูกหรือผิด” และจะจบลงอย่างไร?
lเฒ่า ๒ : จะสนใจมองหา “ความจริง” บนเส้นทางเดินของชีวิต ทั้งในเมือง และในชนบทแต่ การหา “ความจริง” ในสังคมที่เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม ที่อาศัยความเชื่อเป็นหลัก “ยากยิ่งดุจงมเข็มในมหาสมุทร”
มี ๒ เรื่องสำคัญ คือ
๑. การแสวงหาความจริงของเรื่องราว และสังคมที่เขาเดินอยู่
๒. แนวทาง วิธีการ ไปให้ถึงความจริง
เขาใช้หลักการเปรียบเทียบ กับสังคมรอบบ้านในหลายเรื่อง
(๑) เรื่องในประวัติศาสตร์ ที่ประเทศและประชาชน ผ่านมาจากอิทธิพลของนักล่าอาณานิคมฝรั่งได้ในขณะที่ประเทศรอบบ้าน ต้องตกเป็นเมืองขึ้น
(๒) เรื่องในปัจจุบัน ที่สังคมไทยมีจุดแข็ง และข้อดี หลากหลายประการ ที่ทำให้ “ประเทศไทยยังคงโดดเด่น ได้รับการยอมรับจากนานานชาติและคนทั่วโลกก็นิยมชมชอบ ที่จะมาอยู่มาเที่ยวเมืองไทยเขาคิดต่างไปจาก “เฒ่า๑” และฝรั่งมังค่า ที่ใช้ “กรอบคิด” ฝรั่งมาครอบสังคมไทย
• เฒ่า ๒ ที่มีอุดมคติ มีหน้าที่ภารกิจ และความรับผิดชอบใหญ่ ที่ไปแบกไว้บนบ่า
คงเดินไปบนเส้นทางสายแห่งความจริงต่อไป โดยเขารู้ว่า “ยากเย็นแสนเข็ญ”
หัวใจสำคัญที่ทำให้เขาสู้ต่อไปได้ คือ ต้องยอมรับความจริง
๑.เขาต้องมีความรัก และความสุข ด้วยความเชื่อมั่นการคิดดีทำดี เป็นความสุขในตัวของมันและจักไม่คิดและทำชั่ว ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดี ไม่มีคุณธรรม
๒.ต้องหมั่นสรุปบทเรียน พัฒนาตนเอง และแสวงหาความจริงไปตลอดทางซึ่งจะทำให้เขารู้แจ้งเห็นจริง ในสิ่งที่ตนได้ทำไป อันนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี