จริงหรือ... เหตุเพราะเป็นรัฐบาลผสม จึงไม่สามารถทำตามนโยบายหาเสียงที่ปั่น
ไว้ก่อนเลือกตั้งได้?
หรือเหตุจริงๆ คือ นโยบายที่พรรคก้าวไกลนำมาหาเสียง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น?
1. “ก้าวไป โกหกไป”
ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์แยกแยะให้เห็นภาพชัดเจน ระบุว่า
การเลือกตั้ง เปรียบเสมือน หนองน้ำที่มีปลาอยู่หลายสิบล้านตัว
ส่วนนักการเมือง เปรียบเสมือนนักตกปลา
นักตกปลาบางคนใช้เหยื่อของจริง แต่บางคนใช้เหยื่อปลอม
นักตกปลาคนหนึ่งเป็นคนหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง เขาต่างจากพวกนักตกปลารุ่นเก่า ตรงที่เขาเข้าใจธรรมชาติของปลาเป็นอย่างดีว่า ... ปลาแต่ละช่วงอายุชอบเหยื่อต่างกัน
เขาจึงใช้เหยื่อปลอม 3 ชนิดเพื่อตกปลา
-ปลารุ่นเล็ก เขาใช้เหยื่อ “ยกเลิก ม.112 เพื่อเสรีภาพที่ไร้ขอบเขต”
-ปลารุ่นกลาง เขาใช้เหยื่อ “ค่าแรงขั้นต่ำ 450/วันขึ้นทันที”
-ปลารุ่นแก่ เขาใช้เหยื่อ “เงินสวัสดิการ 3,000 บาท/เดือนจ่ายแน่นอน”
ปรากฏว่า ปลาทุกรุ่นในบ่อ แห่กันมางับเหยื่อปลอม ติดเบ็ดของเขากันระนาว เกือบครึ่งบ่อ ...พวกนักตกปลารุ่นเก่าได้แต่มองหน้ากันทำตาปริบๆ
หลังจากตกปลาด้วยเหยื่อปลอมเยอะที่สุดในหมู่นักตกปลาแล้ว นักตกปลารุ่นใหม่จึงค่อยกวักมือเรียก หัวหน้ามาเฟียฝรั่ง ที่เป็นลูกพี่ของตน เข้ามายึดหนองน้ำแห่งนี้อย่างเบ็ดเสร็จ
*** พรรค “ก้าวไป โกหกไป” ***
ขณะนี้ปรากฏชัดแล้วว่ากำลังมีการ “ต้มส้ม” ด้วยกันเอง
นโยบายสำคัญๆที่ใช้หาเสียงเพื่อชนะเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลกลับทำไม่ได้สักอย่าง
- แก้ไข หรือ อีกนัยหนึ่งคือยกเลิก ม.112 ...กลายเป็นไม่ผูกพันพรรคร่วม เป็นของก้าวไกลแต่ผู้เดียว (ปลารุ่นเล็กโดนต้มเรื่อง ม.112)
- ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท/วัน เจอ “ตอ” อย่างจังเมื่อนายจ้าง เช่น สภาอุตสาหกรรม ยกข้อเท็จจริงมาคัดค้านว่าเพิ่งขึ้นค่าจ้างไปไม่นานและการปรับค่าจ้างสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็สร้างแบบอย่างไม่ดี (ปลารุ่นกลางโดนต้มเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท/วัน)
- เงินสวัสดิการผู้สูงอายุ 3,000 บาท/คน ก็ต้องรอถึงปี 2570 ซึ่งไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงและจะได้จริงหรือไม่ (ปลารุ่นแก่โดนต้มเรื่องเงินสวัสดิการ)
ทั้งหมดทั้งปวงล้วนแล้วแต่ “ทำไม่ได้” ทั้งสิ้น
แต่พรรคก้าวไกลก็ยังพยายามโยนความรับผิดชอบไปให้พรรคร่วมบ้าง หรือ บอกว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปบ้าง
แต่สิ่งที่พยายามจะทำในลำดับแรกก็คือ ขอให้ได้เป็นนายกฯและพลพรรคขอให้ได้เป็นรัฐมนตรีก่อน
.....
มองดูให้ดี จะเห็นว่าพรรคก้าวไกลได้สร้างมายาคติหลอกตัวเองและสาวกมาโดยตลอด
แกนนำของพรรคก้าวไกลไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริงเลยสักคน มิหนำซ้ำยังชักชวนผู้คนอีก 14 ล้านคน ให้ “ละเมอเพ้อ” ตามพวกตนไปอีกด้วย
151 เสียงจากทั้งหมด 500 มันจะเป็นฉันทานุมัติ (ด้วยเสียงข้างมาก) ไปได้อย่างไร?
การจะแก้กฎหมายสำคัญ เช่น ม.112 จึงไม่มีใครเอาด้วย แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลที่แจกโควตารัฐมนตรีให้แล้วก็ตาม
นโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หรือ เพิ่มเงินสวัสดิการของพรรคก้าวไกล บ่งชี้ว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้ศึกษาอย่างท่องแท้ว่ามันทำได้หรือไม่ได้และจะมีผลกระทบอย่างไร
เพราะการจะเป็นรัฐสวัสดิการ หมายถึงขนาดของรัฐในระบบเศรษฐกิจต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น มิใช่ใหญ่เฉพาะด้านรายจ่าย หากแต่ต้องทั้งด้านรายรับด้วย
นโยบายของพรรคก้าวไกลที่เขียนส่ง กกต.ว่าจะหารายได้จาก “การจัดเก็บรายได้ภาครัฐรูปแบบใหม่และปรับปรุงระบบภาษี” จนทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 650,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้จ่ายเป็นค่าสวัสดิการในหลายๆ นโยบายที่เสนอนั้นพรรคก้าวไกลไม่มีรายละเอียดใดๆ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ถ้ามองจากโครงสร้างภาษีที่มีอยู่ หากพรรคก้าวไกลจะหาเงินเพิ่มให้ได้ 650,000 ล้านบาทตามที่หาเสียง
พรรคก้าวไกลจะต้องขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15-20% หรือเพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเป็น 2 เท่า คือเก็บสัก 40% ของรายได้เท่านั้น
พรรคก้าวไกลถึงจะหาเงินเพิ่ม 650,000 ล้านบาทนั้นได้ทุกปี
พวกด้อมส้ม พวกด้อมแดง และพวกสลิ่มทั้งหลายฟังให้ดีนะ ... ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นมากของพรรคก้าวไกล เมื่อใดก็ตามที่พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570 แบบถล่มทลาย กลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียวแบบเบ็ดเสร็จ
รับรองว่าจะต้องมี #การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 15-20% และจะมี #การเพิ่มภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เป็น 40% ของรายได้อย่างแน่นอน
.....
ค่าจ้างขึ้นต่ำ พรรคก้าวไกลไม่ดูข้อเท็จจริงเลยหรือว่ามีแต่แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานที่ทำกับ SME เท่านั้นที่จะจ้างในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ส่วนแรงงานไทยที่มีฝีมือเขารับค่าจ้างสูงกว่านั้นอยู่แล้ว
การจ้างงานมันขึ้นอยู่กับกำไรที่นายจ้างจะได้จากการจ้างแรงงาน ถ้าต้องจ้างแพงแล้วไม่มีกำไรนายจ้างจะจ้างไปทำไม
ขณะที่แรงงานไทยมีไม่พอกับงานหรือไม่ก็มีทักษะฝีมือไม่เพียงพอที่จะทำงานที่มีอยู่ ทำไมไม่คิดจะปรับปรุงฝีมือแรงงานมากกว่าจะมาบังคับให้เอกชนเขาจ่ายค่าจ้างเพิ่ม
ส่วนการอ้าง “ของแพง ไม่พอกิน” จึงต้องขึ้นค่าจ้าง มันยิ่งแล้วใหญ่ การขึ้นค่าจ้าง/ให้สวัสดิการเพิ่มโดยไม่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นเท่ากับจะมีเงินเพิ่มเข้าไปในระบบมากขึ้น
เงินก็จะเฟ้อตามค่าจ้างที่เพิ่มแล้วมันก็จะวนกลับมาเหมือนเดิมว่า “ของแพง ไม่พอกิน”
การบังคับขึ้นค่าจ้างแบบที่พรรคก้าวไกลพยายามจะทำ มันจึงไม่ใช่ทางแก้จริงไหม?
ผู้เขียนไม่อยากบอกว่า “หน้าละอ่อน” ที่หลายคนหลายสื่อออกมาอวยว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีคลังได้คิดเรื่องภาพรวม (มหภาค) แบบนี้บ้างไหม
“พูดง่ายกว่าทำมากนะ”
ใครที่ได้ดูคลิปสัมภาษณ์ว่าที่รัฐมนตรีคลัง คนนี้โดยเพจ ลงทุนแมน คงช็อกไปตามๆ กัน เมื่อพบความจริงว่า นางไม่รู้อะไรเลย ...คนที่สัมภาษณ์นางในคลิปกลับมีความรู้ความเข้าใจมากกว่านางอีก
ขอสรุปอีกครั้ง พรรคก้าวไกล ...
(1) ไม่รู้และคิดไม่รอบคอบ นโยบายจึงทำไม่ได้ หรือ (2) รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะเป็น (1) หรือ (2)
หากพรรคก้าวไกลไม่ยอมรับความจริงข้างต้น มันก็ต้อง “ก้าวไป โกหกไป” อย่างที่พรรคก้าวไกลกำลังทำอยู่ตอนนี้...
2. ลองคิดว่า “ของจริง” คือ รัฐบาลจริงๆ ที่ยังทำหน้าที่อยู่ และจะทำหน้าที่ต่อจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่จริงๆ มาทำงาน
เมื่อวาน นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แจกแจงสถานการณ์การบริหารหนี้สาธารณะของประเทศ
“1. หนี้สาธารณะต่อ GDP ณ 31 มี.ค.2566 ประมาณ 10 ล้านล้านบาทคิดเป็น 61.30% ของ GDP ซึ่งอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง คือ 70% ของ GDP โดยที่มาของหนี้สาธารณะ เกิดจาก... (1) หนี้ที่รับช่วงมาจากรัฐบาลในอดีต (2) หนี้ที่มาจากการกู้เงินเพื่อใช้ในการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ เช่น การคมนาคมขนส่ง สาธารณูปโภค พลังงาน การศึกษา และที่อยู่อาศัย คิดเป็น75% ของเงินกู้ และ (3) ในช่วงที่โควิดระบาดทั่วโลก เราจำเป็นต้องกู้เงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขสำหรับการควบคุมโรค ดูแลรักษาช่วยเหลือประชาชนและทุกภาคส่วน ตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร่งด่วน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ภาระหนี้ของรัฐบาลกว่า 98% เป็นหนี้ในประเทศ ที่เหลือเพียงส่วนน้อยมากเป็นหนี้ต่างประเทศ จึงได้รับผลกระทบจากความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ 88.6% เป็นหนี้ระยะยาว และ 11.4% เป็นหนี้ระยะสั้น ทำให้เรามีความคล่องตัว-ไม่กดดัน ในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐบาลมีแนวทางการบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น (1) การชำระคืนหนี้ก่อนครบกำหนด (Pre-funding) ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเหมาะสม (2) การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อลดการกระจุกตัวของภาระหนี้ ยืดอายุหนี้ และลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (3) ช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง ก็ได้ปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยของหนี้สาธารณะ (4) ช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ก็ได้แปลงหนี้ที่เป็น “ดอกเบี้ยลอยตัว” ให้เป็น “ดอกเบี้ยคงที่” ซึ่งมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า ปัจจุบัน 85% เป็นหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยคงที่ (5) การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเร่งชำระหนี้ ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ซึ่งนับตั้งแต่ปี’57 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการชำระหนี้สาธารณะไปแล้วมากกว่า 2.6 ล้านล้านบาท นับเป็นยอดชำระหนี้มากที่สุด เมื่อเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่ผ่านๆ มา (6) การเร่งรัดสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และส่งเสริมการสร้างงาน-สร้างรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น เก็บภาษีได้สูงขึ้นในทุกกิจกรรม และเกิดการพัฒนาต่อยอดขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสามารถนำมาชำระหนี้ได้มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ จากการมุ่งสร้างเจริญก้าวหน้า การลงทุนเพื่ออนาคต การฝ่ามหาวิกฤตโลกและการบริหารหนี้สาธารณะ ที่เป็นไปอย่างเคร่งครัด ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ส่งผลให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อระดับสากล ยังคงอันดับความน่าเชื่อของประเทศไทยที่ BBB+ มาอย่างต่อเนื่อง และมุมมองความน่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยเชื่อมั่นว่าภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทย ยังคงแข็งแกร่ง อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และสามารถรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดของโลกในอนาคตได้”
จะเห็นว่า “ของจริง” ไม่ง่ายเหมือนการประดิษฐ์คำพูดเท่ๆ เลย
แต่ที่ผ่านมา สื่อกระแสหลักมุ่งโจมตีว่ารัฐบาลกู้เยอะสุด สร้างหนี้เยอะสุด ตามวาทกรรมของนักการเมือง
แต่ละเลย “ข้อมูลจริง” ที่ว่า “นับตั้งแต่ปี’57 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการชำระหนี้สาธารณะไปแล้วมากกว่า 2.6 ล้านล้านบาท นับเป็นยอดชำระหนี้มากที่สุดเมื่อเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่ผ่านๆ มา”
สุดท้าย ก็ไปคว้าเอา “ต้มส้ม” มาเสียนี่ เอวังประเทศไทย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี