หากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองใดๆ พรรครัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะเข้าบริหารประเทศในช่วงประมาณเดือนสิงหาคมนี้ซึ่งในข้อตกลงภายใต้บันทึกช่วยจำ (MOU) การร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ก็ได้แสดงเป้าหมายเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางของไทยบางประการ โดยมีส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศทั้งในเรื่องภายใน และภายนอก ซึ่งได้มีการกล่าวถึงการฟื้นฟูบทบาทของไทยในเวทีอาเซียน การเข้าร่วมกับประชาคมโลกในเรื่องการแก้ไขประเด็นปัญหาสภาวะโลกร้อน และการวางตัวของไทย ท่ามกลางการขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ คือจีน กับสหรัฐอเมริกา
ในการนี้ ทางฝ่ายแกนนำคณะรัฐบาลผสมชุดใหม่ยังมิได้แจงรายละเอียดว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรใน 3 เรื่องหลักดังกล่าว ก็เป็นที่คาดหวังว่าจะได้มีการทยอยแสดงข้อคิดเห็นสู่สาธารณชนก่อนเปิดสมัยการประชุมรัฐสภา ไปจนหลังจากการเปิดประชุมรัฐสภาไปแล้ว เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจ และขอการสนับสนุนจากสาธารณชนเป็นการทั่วไป รวมทั้งเป็นการแสดงจุดยืนและท่าทีที่แน่ชัด โปร่งใส ในบริบทสังคมประชาธิปไตยของไทยอีกด้วย
ผมในฐานะประชาชนพลเมืองคนหนึ่งที่ได้เคยข้องแวะกับการต่างประเทศของไทยมาพอสมควร ก็ใคร่ขอถือโอกาสแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลผสมชุดใหม่ได้นำไปใช้พิจารณาประกอบการกำหนดนโยบาย และมาตรการตามแต่จะเห็นควรเหมาะสม โดยในขณะเดียวกัน ก็อาจจะช่วยในการเตรียมการให้สาธารณชนได้ติดตาม และกำกับดูแลฝ่ายรัฐบาลไปได้ด้วย
คำถามที่มักจะมีการตั้งกันอย่างกว้างขวางทั้งใน และนอกประเทศมาโดยตลอดก็คือ จุดยืนประเทศไทย จะยืนอยู่กับฝ่ายจีน หรือฝ่ายสหรัฐอเมริกา? หรือจะประกาศความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด? หรือจะโอนเอียงไปตามกระแสลม ในทำนองต้นไผ่ที่เอนเอียงไปมาตามกระแส (Bamboo policy)? ซึ่งรัฐบาลผสมชุดใหม่ของไทยจะคิดอ่านหรือตัดสินใจอย่างไร ก็น่าจะมีข้อมูล สาระเนื้อหาประกอบการพิจารณา และนำไปตัดสินใจดังนี้
1. รัฐบาลผสมชุดใหม่นี้ ได้อ้างความเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอย่างหนักแน่นแข็งขันมาโดยตลอด ฉะนั้นด้วยหลักตรรกะก็ต้องมีนโยบายต่างประเทศที่สะท้อนความเป็นประชาธิปไตยนี้ ก็คือการกระชับและคบหาสมาคมกับประเทศที่เป็นประชาธิปไตยด้วยกันเป็นสำคัญ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลผสมชุดใหม่นี้ก็คงตระหนักรู้ดีว่า มีประเทศใดบ้างในโลกนี้ที่เป็น หรือไม่เป็นประชาธิปไตย
2. เมื่อรัฐบาลผสมชุดใหม่นี้เป็นประชาธิปไตย ก็ต้องปฏิเสธระบบการเมืองใดๆ ที่เป็นเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด เช่น พรรคเดียวเป็นเผด็จการ บุคคลคนเดียวหรือครอบครัวการเมืองรวบอำนาจไว้ในมือแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะเป็นหนึ่งใดก็ตามก็มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะการไม่คำนึงถึงและไม่ยอมรับในเรื่องสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด ซึ่งในการนี้จีนเป็นเผด็จการพรรคเดียว แล้วก็พยายามที่จะส่งออกด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่า ระบบพรรคเดียวเผด็จการนั้นแสนที่จะดีและเหมาะสมกับสังคม หรือประเทศหนึ่งใด เพราะจีนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เผด็จการพรรคเดียวสร้างเสถียรภาพให้กับสังคม และในขณะเดียวกันก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและลดความเหลื่อมล้ำได้เมื่อจีนเป็นเช่นนี้ก็อยู่ในสถานะที่ตรงกันข้ามกับเลือดเนื้อเชื้อไข หรือ DNA ของรัฐบาลผสมชุดใหม่ของไทย และฉะนั้นการที่รัฐบาลผสมชุดใหม่จะไปเข้าข้างฝ่ายจีน เป็นพันธมิตรร่วมกันก็จะดูกระไรอยู่
3. ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ไทยกับสหรัฐอเมริกานั้นจัดได้ว่า เป็นพันธมิตรต่อกันและกัน ซึ่งต่อมาในยุคสงครามเย็นก็เป็นพันธมิตรร่วมกันในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต(ล่มสลายไปแล้ว) และจีน โดยไทยกับสหรัฐฯ มีข้อตกลงทางด้านการร่วมมือทางด้านความมั่นคงและกิจการทางทหารหลายๆ ฉบับ และฝ่ายสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนฝ่ายไทยในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และได้ร่วมกันต่อสู้ภยันตรายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คาบสมุทรเกาหลี และที่แหลมอินโดจีนโดยล่าสุดเมื่อไม่นานปีมานี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ได้ตั้งให้ไทยเป็น Major Non-NATO Ally – พันธมิตรหลัก หรือแนวหน้าที่มิใช่สมาชิกองค์การนาโต และโดยตลอดมาไทย-สหรัฐฯ ก็มีกิจการร่วมมือกันทางด้านทหารและความมั่นคง โดยเฉพาะการซ้อมรบใหญ่ประจำปีที่เรียกว่า Cobra Gold
ฉะนั้นกล่าวโดยสรุปเบื้องต้นได้ว่า เมื่อพูดถึงภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ไทยและสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรกันมาช้านาน โลกจึงมองว่าไทยนั้นเป็นฝ่ายสหรัฐฯ โดยปริยาย
4. ในขณะเดียวกันไทยก็ทำมาค้าขายกับทุกประเทศ ไม่เคยเลือกปฏิบัติ และประชาคมอาเซียนซึ่งไทยเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง และมีบทบาทนำมาโดยตลอด (เว้นช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก็มีความสัมพันธ์กับทุกประเทศหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป (27 ประเทศสมาชิก) จีน และรัสเซีย ภายใต้กรอบประเทศมิตรคู่ค้า (Dialogue Partnerships) ซึ่งในการนี้ไทยก็อยู่ในวิสัยที่จะแยกแยะความสัมพันธ์ด้านการเมือง ออกจากความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าได้ ดังจะเห็นว่าสหรัฐฯ กับจีน ก็เป็นคู่อริทางด้านการเมืองและความมั่นคงต่อกันและกัน แต่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่าง 2 ประเทศนั้น ยังมีมูลค่ามากมายมหาศาล ซึ่งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย อินเดีย ต่างก็ดำเนินการในทำนองนั้น คือแยกเรื่องการเมืองออกจากเรื่องเศรษฐกิจการค้า
ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่ประเทศไทยจะไม่ดำเนินการในทำนองเดียวกัน คือไม่เอาด้วยกับระบบการเมือง และการแพร่ขยายอิทธิพลในทำนองคุกคามของจีน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำมาค้าขายกับจีน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และฝ่ายไทยก็สามารถแสดงความเป็นตัวตน ไม่ต้องหลบซ่อน หรือทำท่าลับๆ ล่อๆ หรือจะโอนเอนไปมา หรือลู่ไปตามลม โดยไม่มีฐานความคิด และจุดยืนที่แน่นอน
ทั้งนี้การเป็นพันธมิตรของไทยกับสหรัฐฯ ก็ต้องมีขอบเขต คือเราทั้ง 2 ต่างแชร์อุดมการณ์ว่าด้วยประชาธิปไตยแต่ไทยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปร่วมกับสหรัฐฯ ในการท้าตีท้าต่อยกับคู่ขัดแย้งของสหรัฐฯ คือจีน ด้วย
แต่หากเมื่อใดที่ไทยต้องเผชิญกับภยันตรายที่จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและความมั่นคง ก็เป็นการแน่นอนที่จะต้องเรียกร้องความร่วมมือและการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรร่วม ซึ่งจะเป็นการร่วมมือเพื่อป้องกันตัวไทยเรา แต่มิใช่เป็นการร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อจะไปรุกรานใคร โดยเฉพาะจีน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี