กกต.ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้วครบทั้ง 500 คน จากนี้ไปจะเป็นกระบวนการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมรัฐสภาสมัยแรก จากนั้นก็จะเป็นการเลือกประธานสภาและนายกรัฐมนตรีซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็จะเข้ารับตำแหน่งประมาณกลางเดือนกรกฎาคมนี้
มีความพยายามที่จะขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยเพื่อไม่ให้พรรคการเมืองที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนจัดตั้งรัฐบาลในทุกวิถีทาง ในขณะเดียวกันก็มีความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยดำเนินต่อไป
การขัดขวางก็จะใช้ไสยศาสตร์ทางกฎหมายสอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ สส. กระทั่งความพยายามที่จะยุบพรรคการเมือง 2-3 พรรค ซึ่งเป็นลูกไม้เก่าที่เคยใช้มาตลอดระยะเวลา 18 ปีมานี้ ซึ่งสังคมกำลังจับตามองว่า กกต. จะเล่นลูกเป็นเจ้าภาพจัดการเรื่องนี้หรือไม่ เพราะนอกจาก กกต. ที่จะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ในเรื่องนี้ก็เหลือเพียง สส.50 คน เข้าชื่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะคงไม่มี สส. คนไหนเสี่ยงทำเรื่องนี้เพราะอาจถูกสอยกลับตกเก้าอี้โดยไม่รู้ตัวก็ได้
ขณะนี้คำร้องขอให้สอยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ก็ดี คำร้องขอให้ยุบพรรคก็ดี ได้ถูก กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมืองสั่งยกหมดแล้ว ที่พูดจาสร้างกระแสป่วนบ้านป่วนเมืองกันนั้นเป็นเรื่องของคนที่ไม่มีหน้าที่ ที่ไม่เกรงกลัวบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตรา 143 และไม่เกรงความรับผิดชอบที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงเหมือนกัน
ดังนั้นเมื่ออุปสรรคทางกฎหมายยังไม่มีในขณะนี้ จึงเหลือแต่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีว่าพรรคการเมืองที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่
นั่นคือ สว. ที่ได้รับแต่งตั้งมาจาก คสช. จะปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะยังมีบางคนแทนที่จะตั้งตนอยู่ในความเป็นกลางตามฐานะของ สว. หรือแสดงความเคารพฉันทามติของประชาชน ยังประกาศตนโดยไม่อายฟ้าไม่อายดินว่าจะต้องขัดขวางไม่ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯให้จงได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไป
ความคิดที่กำลังท้าทายปวงชนชาวไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะการท้าทายต่อฉันทามติของประชาชน 27 ล้านคน ที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทั้งที่ทั้งพรรคได้รับเลือกด้วยคะแนนเพียง 4 ล้านเสียง จึงไม่เพียงแต่เป็นการท้าทายประชาชนไทย ท้าทายต่อระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ยังท้าทายความเข้าใจและความรู้สึกนึกคิดของชาวโลกทั้งหลายด้วย
รากฐานความคิดจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยถูกจุดกระแสขึ้นโดยรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ซึ่งระบุว่าแม้จะเป็นเสียงข้างน้อยในตอนแรก แต่ไม่นานก็จะมีเสียงมาเติมจนเป็นเสียงข้างมากเอง
พูดภาษาชาวบ้านก็คือจะมีการซื้อหา สส. จากฝ่ายที่ชนะเลือกตั้งให้ทรยศประชาชน ให้ทรยศพรรคที่สังกัด เพื่อมาสนับสนุนคนที่ประชาชนไม่ได้เลือก และไม่ได้มอบฉันทามติให้เป็นนายกรัฐมนตรี
เหตุที่คิดเช่นนั้นก็เพราะตั้งความหวังว่าจะมี สว. 250 คน โหวตสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเพียงแค่มี สส. 126 คนขึ้นไป ก็จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
แต่ทว่า สส. 126 คนนั้นยังไม่ถึงครึ่งของจำนวนครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร เพราะลำพังแค่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยก็มีคะแนนเสียงรวมกันเกือบ 300 แล้ว ดังนั้นถึงแม้จะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเป็นเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรก็บริหารไม่ได้ เว้นแต่จะคิดว่าบ้านเมืองหรือใครฉิบหายช่างมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องนี้มีคนให้ความเห็นว่าเมื่อได้รับความเห็นชอบเป็นนายกฯแล้วก็ยังสามารถบริหารได้อีกระยะหนึ่งจนกว่ากฎหมายงบประมาณจะเข้าสภา ซึ่งอาจจะเป็นปลายปี 2567 หรือมีกฎหมายสำคัญเข้าสภา และอาจจะแพ้เสียง ตอนนั้นก็ค่อยยุบสภา ก็จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไป
เป็นความคิดเห็นที่อำมหิตต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่ง เพราะถ้าเป็นแบบนี้ประเทศจะฉิบหาย ประชาชนจะวายวอด และอาจเกิดกลียุคลุกฮือขึ้นทั้งแผ่นดิน แล้วใครจะรับผิดชอบ
แต่ความคิดเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งคนที่ประชาชนไม่ได้เลือกให้มาบริหารไม่มีสิทธิ์ที่จะบริหารบ้านเมือง และไม่มีทางที่จะอยู่ยืดยาวไปได้
เพราะในทันทีที่คณะรัฐมนตรีแบบนี้ถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่ง ฝ่ายค้านซึ่งมีคะแนนเสียงกว่า 300 เสียง ก็สามารถยื่นญัตติไม่ไว้วางใจได้ทันที ด้วยข้อหาเพียงว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นปรปักษ์ต่อฉันทามติของประชาชนชาวไทย เป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายของบ้านเมือง
แล้วก็สรุปญัตติว่ารัฐบาลชนิดนี้ไม่สามารถไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินได้แม้แต่วินาทีเดียว จึงจำเป็นต้องยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจไล่ออกไปเสีย
เมื่อมีการยื่นญัตติเช่นนั้นแล้วก็จะได้รับการบรรจุเป็นวาระเร่งด่วน และนับแต่เวลายื่นญัตตินั้นรัฐบาลก็ไม่สามารถยุบสภาได้ เปิดอภิปรายวันเดียวก็เสร็จวันรุ่งขึ้นก็ลงมติไล่ออกไป
รัฐบาลเสียงข้างน้อยจึงไม่มีโอกาสได้บริหารดังที่คาดหวังไว้ ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน ควรที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ก็จะหยุดยั้งอันตรายทั้งหลายทั้งแก่บ้านเมืองและแก่ประชาชนได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี