การเมือง คือ ปัจจัยเสี่ยงของการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจปากท้องคนไทย
พูดให้ชัด คือ ความเห็นแก่ตัวของนักการเมือง ความหน้าด้านของกลุ่มคนที่อ้างว่าหัวก้าวหน้าบางกลุ่ม คือ ตัวถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ถึงขนาดว่าจะให้ประเทศรอรัฐบาลใหม่ไปอีก 10 เดือน เพียงเพราะหวังว่าหัวหน้าพรรคตนเองจะได้เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่ได้รับโอกาส ได้ถูกเสนอชื่อเข้าที่ประชุมรัฐสภาไปแล้ว และไม่ผ่านการพิจารณา เพราะจุดยืน แนวทาง นโยบายที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นภัยต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
1.ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยสถานการณ์เศรษฐกิจ และรายงานวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจไทยนี้
ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้น จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
แนวโน้มเดือนก.ค. และระยะต่อไป ยังปรับตัวดีต่อเนื่อง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของภาคบริการ การส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านตลาดแรงงานฟื้นตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ
แต่ในประการสำคัญ มองว่า การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า อาจกระทบภาพรวมเศรษฐกิจ
หากมองจากประมาณการเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา ได้มีความกังวลในเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าไปบ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบลงทุน ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
2.จะเห็นว่า ประเทศชาติ มีโอกาสที่ดีรออยู่มากมาย
แต่กลับมีกลุ่มการเมืองที่อ้างว่า หัวก้าวหน้า พยายามยัดเยียดความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ปลุกปั่น บิดเบือนเจตจำนงของประชาชน
กระทำการผ่านการชี้นำ ครอบงำพรรคการเมือง
เอานโยบายประชานิยมรัฐสวัสดิการมาหาเสียง
เอาภาพฝันการเปลี่ยนแปลงที่สวยงามมาสร้างภาพจูงใจ โดยไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
พอได้คะแนนเสียงมา ก็นำมาอ้างว่าเป็นเสียงที่ต้องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และแนวทางกดดันต่อสถาบัน ตามแนวคิดของพวกตนเอง
ไม่ฟังเสียงข้างมากที่แท้จริงในสังคม (เวลามีม็อบพวกนี้มีคนออกมาสนับสนุนหรอมแหรม) ใช้ความหยาบคายเพื่อให้สังคมสนใจ
นี่มันไม่ใช่คณะหัวก้าวหน้า
แต่เป็น “คณะ(ถ่วง)ความก้าวหน้า”!!!
3.คุณ Sappisansook Yodmongkhon ตั้งคำถามชวนคิดอย่างแหลมคม ระบุว่า
“-ทำไมเราต้องเชื่อว่า พรรคที่อ้างว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำต้องดีกว่าคนรุ่นปัจจุบันทำ ขนาดแค่เรื่องของตัวเองยังเคลียร์ไม่ได้เลย
-ทำไมเราต้องเชื่อว่า เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐแล้วทุกอย่างจะดีกว่าเดิม ในเมื่ออเมริกา ฝรั่งเศส ก็มีแต่คนนอนบนถนน คนไร้บ้าน ปัญหาประท้วงวุ่นวายเต็มไปหมด
-ทำไมเราต้องเชื่อว่า ทำลายอัตลักษณ์ตัวเองแล้วจะดี เราก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าประเทศที่ไร้อัตลักษณ์ของตัวเองมันน่าเบื่อ จืดชืดแค่ไหน คนในประเทศที่ถูกทำลายสิ่งเหล่านี้ออกไป คนเขากระหายอัตลักษณ์อย่างบ้าคลั่งขนาดไหน ราวกับคนขาดอาภรณ์สวมใส่
-ทำไมเราต้องเชื่อว่า ไม่นับถือศาสนา ในเมื่อมนุษย์จะดีได้ก็ด้วยคำสอนของผู้รู้ และเรารู้ว่าจิตที่ไม่ได้รับการขัดเกลา มันหยาบกระด้างขนาดไหน
-ทำไมเราต้องเชื่อว่า พวกคุณคือประชาธิปไตยในเมื่อพวกคุณไม่เคย respect ใครหน้าไหน ชี้หน้าด่าคนอื่นว่าเป็นเผด็จการ ทั้งที่ก็ใช้สิทธิบนกฎหมายฉบับเดียวกัน ได้รับเลือกมาจากกฎหมายฉบับเดียวกัน ไล่ด่า ระราน บีบบังคับคนอื่นให้ทำตามวิธีการของตนเอง
-ทำไมเราต้องเชื่อว่า สูญเสียความเป็นกลางจะดี ในเมื่อเราก็เป็นก็เข้าได้ทุกกลุ่ม ค้าขายได้ทุกฝ่าย
-ทำไมเราต้องเชื่อว่า ประเทศไทยไปเป็นโปรเมกาแล้วจะดี ในเมื่อเราก็เห็นข้อเท็จจริงอยู่ว่าอเมริกา ยุโรปกำลังเจอปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก ในขณะที่ BRICS+กำลังเติบโต
-ทำไมเราต้องเชื่อว่าพวกคุณทำเพื่อประชาชน ในเมื่อที่ผ่านมาพวกคุณไม่เคยทุ่มเทอะไรเพื่อประชาชนเลย แถมมีเรื่องฮุบ โกงที่ดินส.ป.ก.อีก
-ทำไมเราต้องเชื่อว่าพวกคุณเป็นคนดี ในเมื่อวันๆ เห็นแต่ชี้หน้าว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี พวกมึงดีอยู่ฝ่ายเดียว
- ทำไมเราต้องเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของเราไม่ดี ในเมื่อราชวงศ์จักรีจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ทุ่มเท ปิดทองหลังพระ บริจาคพระราชทรัพย์ ทำเพื่อประชาชนมาขนาดนั้น ในขณะนี้ที่พวกคุณไม่ทำอะไรแต่ตีฝีปากไปวันๆ
มีข้อเท็จจริงหลักฐานเหตุผลอะไรที่เราต้องเชื่อคุณครับ?”
4.ภาพรวมบ้านเมืองที่รัฐบาลปัจจุบัน จะส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ ไม่ได้ขี้เหร่เลย
นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำเสนอบางส่วนที่น่าสนใจ อาทิ
“...ผมยังคงเฝ้าติดตาม ผลักดัน และกำกับดูแลแผนงาน-โครงการต่างๆที่ได้ริเริ่ม หรือสานต่อไว้ในทุกๆ เรื่องอย่างต่อเนื่อง และเสมอต้นเสมอปลาย
โดยมีตัวชี้วัดและมุมมองจากประชาคมโลกหลายอย่าง ที่ยืนยันถึงการขับเคลื่อนประเทศของเรานั้น เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสมกับยุคสมัย รองรับการพัฒนาในอนาคต เช่น 1) การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม(2) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ดีขึ้น (3) การพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืน เป็นต้น
....
1.การเงินการคลัง ณ ปัจจุบัน ถือว่ามีเสถียรภาพเข้มแข็งเพียงพอ สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน-เร่งด่วนที่อาจจะเกิดขึ้น หรือคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนเศษ ของปีงบประมาณ 2566 (นับถึงสิ้นเดือนกันยายน 2566) เช่น น้ำท่วม-น้ำแล้ง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนกลุ่มต่างๆ เป็นต้น สำหรับทุนสำรองระหว่างประเทศก็ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากพอสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในสายตาชาวโลก
2.การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มีความคืบหน้าอย่างมาก เช่น
(1) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน เส้นทางนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทางรวม 420 กิโลเมตร มีความคืบหน้าในภาพรวมตลอดเส้นทาง มากกว่า 90% คาดว่าแล้วเสร็จภายในปลายปี 2566 นี้ ที่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า รองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจ เชื่อมโยงภาคกลาง-ภาคใต้ของประเทศ สำหรับสายเหนือ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพระยะทาง 148 กิโลเมตร คืบหน้าราว 80% และสายตะวันออกเฉียงเหนือช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร ก็คืบหน้ากว่า 95%(ไม่รวมอุโมงค์รถไฟ 5 กิโลเมตร)
(2) โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)คืบหน้ากว่า 82.55% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2567 เชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้า-พืชผลทางการเกษตร ระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน กระจายรายได้และความเจริญในภาคอีสาน และภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ
3.การสร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยจากประชาคมโลกในด้านต่างๆ เช่น
(1) รายได้จากการท่องเที่ยวช่วง 7 เดือนนี้ สะสมรวมกว่า 1 ล้านล้านบาทจากนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 14 ล้านคน เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากกว่า 0.56 ล้านคน
(2) นักลงทุนต่างชาติ สนใจลงทุนในพื้นที่ EEC ช่วงเดือนมกราคม- มิถุนายน 2566 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 10,771 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 ของเงินลงทุนทั้งหมดในประเทศไทย
(3) การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 15% เปรียบเทียบช่วงเดียวกันปี 2565 รวมมูลค่าการลงทุน 48,927 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 3,222 คน อีกทั้งตลาดรถ EV ในประเทศ มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง เพียงช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ มียอดจดทะเบียน EV มากถึง 31,738 คัน ขยายตัวถึง 3 เท่า ของจำนวนทั้งหมดในปี 2565
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เดินหน้าเจรจากับต่างประเทศเพื่อการเปิดตลาดการค้าใหม่ และกระชับความสัมพันธ์เพื่อขยายการค้าการลงทุน เช่น ความร่วมมือทางการค้าของไทย-มาเลเซีย ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าในระบบเศรษฐกิจระหว่างกันประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท ให้ได้ในปี 2568 โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย เช่น ธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารไทย และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว-การก่อสร้าง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ คือ ความพยายามของผมที่ไม่เคยลดละ ที่จะสร้างโอกาส-สร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม ให้กับประชาชนทุกคน
โดยผมเห็นว่าความสำเร็จเหล่านี้ เกิดจากความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจกันของคนในชาติ อีกทั้งความสงบสุขของบ้านเมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้การพัฒนาต่างๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมขอให้เราทุกคนช่วยกันรักษาบรรยากาศดีๆ นี้ ให้เป็นปกติสุขคู่สังคมไทยตลอดไปด้วยครับ..”
ท้ายที่สุด ความพยายามที่จะทำลายโอกาสของประเทศชาติ
ทำลายความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
บั่นเซาะทำลายสถาบันหลักของชาติ
สร้างความแตกแยกในชาติ ในสังคม ในครอบครัว ในโรงเรียนสถานศึกษา
แม้กระทั่งพยายามชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน เอาประเทศไปขายให้มหาอำนาจบางขั้ว เพราะความอยากจะเป็นเด็กดีของลุงแซม ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แนวทางก้าวหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับประเทศไทย
ตรงกันข้าม มันคือ “ตัวถ่วงความก้าวหน้า” และบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี