ผมเขียนต่อจากตอนที่แล้วเลยครับ
- วัฒนธรรมอยู่ที่ไหน?
1.วัฒนธรรมอยู่ในวิถีชีวิตของคนแต่ละคนและสังคม กล่าวไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว
2 วัฒนธรรมที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ กฎ กติกา ระเบียบ แบบแผน ฯลฯ ของสถาบัน องค์กร หน่วยงานต่างๆของรัฐและเอกชน ที่เรียกว่า “จรรยาบรรณ” ของวงการสื่อสารมวลชน “จรรยาแพทย์” ของวงการอาชีพแพทย์ “ปูชนียบุคคล” (จรรยาบรรณ) ของวงการการศึกษา เป็นต้น
กล่าวอีกแบบก็คือรัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ กฎ กติกา ระเบียบ แบบแผนนั้นแหละคือ “บทบัญญัติ” ของวัฒนธรรม ที่บังคับใช้กับทุกคนในสังคม ถือว่าเป็น “วัฒนธรรมแบบจัดตั้ง
หรือสถาปนา”
3. วัฒนธรรมที่อยู่ในอุดมคติและในสำนึก เช่น หลักธรรมและคำสอนต่างๆ ที่ไม่ได้จารึกเป็นบทบัญญัติเพื่อการปฏิบัติ แต่เป็นการยึดถือคุณค่าของอุดมคติ หลักธรรมและคำสอนต่างๆ เช่น อุดมคติแบบพระโพธิสัตว์ คุณธรรม – ศีลธรรม สำหรับคนทั่วไป ส่วนคำสอนก็เช่น ความกตัญญูกตเวที เข้าตามตรอกออกตามประตู ส่วนมากอยู่ในสำนวนไทย สุภาษิต คำพังเพย และวรรณกรรมต่างๆ
อุดมคติและหลักธรรมที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ “ทศพิธราชธรรม” ที่ใช้ปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองทุกระดับชั้น กระทั่งระดับย่อยสุดในหน่วยงาน
ระดับสูงสุดก็คือพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าใครจะเป็นพระมหากษัตริย์ก็ต้อง “ทรงทศพิธราชธรรม”
วัฒนธรรมมีประโยชน์อย่างไร?
วัฒนธรรมผสานให้คนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเช่น งานบุญต่างๆ ก็จะร่วมด้วยช่วยกันอย่างเสียสละ เช่น งานทอดกฐินทอดผ้าป่า ส่วนงานที่มีการสร้างสรรค์ก็เช่นประเพณีแห่เทียนพรรษา มีการตกแต่งเทียนพรรษาและรถ-ขบวนแห่งอย่างวิจิตรตระการตา
เมื่อคนสามัคคีกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันชุมชนนั้นก็ไม่มีปัญหาความแตกแยก ไม่มีอาชญากรรม แม้มีก็ช่วยกันดูแลแก้ปัญหาได้ สังคมนั้นก็เข้มแข็ง เมื่อชุมชนหรือสังคมมีปัญหาน้อยก็ลดลง ปัญหาของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองตลอดจนคดีความก็ลดลง วัฒนธรรมจึงเป็นด่านหน้าที่ป้องกันปัญหาอาชญากรรมและปัญหาอื่นๆ เกินคาดคิด
วัฒนธรรมจึงเป็นเครื่องมือพัฒนาตนและสังคม
แม้วัฒนธรรมจะมีคุณค่าต่อใจและประโยชน์แก่สังคม แต่ก็ “การบ่อนเซาะ –ทำลายวัฒนธรรม” เรื่อยมา ทั้งไม่เจตนาและเจตนา
ไม่เจตนาก็ได้แก่ การละเลย ไม่สนใจไม่เข้าใจวัฒนธรรม ส่วนมากก็เห็นเป็นเรื่องเล่นสนุก เช่น ประเพณีลอยกระทง ซึ่งมีความมุ่งหมายตั้งแต่ขออโหสิกรรมและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระแม่คงคา ก็กลายเป็นแค่จุดประทัด จุดพลุ เอาสนุกสะใจ จนเดือดร้อนกันทั้งคนและสัตว์
ประเพณีสงกรานต์ มีความมุ่งหมายตั้งแต่ขอขมาและแสดงความสำนึกต่อผู้มีพระคุณขอพรจากผู้อาวุโส กระทั่งสรงน้ำพระ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เป็นแค่เล่นสาดน้ำเอาสนุก
กินเหล้าฉลอง บ้างก็ล้มวัวล้มควายเป็นกับแกล้มต้อนรับญาติมิตร
การบ่อนเซาะ – ทำลายวัฒนธรรมที่สำคัญอีกอย่างก็คือ “การแสดง” ทั้งอยู่ในภาพยนตร์ ดนตรี การแสดง การเต้น การร้อง...ที่ไร้รสนิยม คือหยาบ อุจาด อนาจาร อัปลักษณ์ ทำลายสุนทรียภาพในจิตใจคนและทำลายศิลปะที่มีความหมายว่า “งดงาม จรรโลงใจ”
การบ่อนเซาะ – ทำลายโดยเจตนาก็ได้แก่ “ตัณหาในอำนาจ” ของพวกนักการเมือง มันเริ่มมาตั้งแต่ยุคปล้นชิงพระราชอำนาจเมื่อปี 2475 แล้ว มีการโจมตีใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ พร้อมกันนั้นลัทธิสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) ก็ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยช่วยบ่อนทำลายด้วย
ลัทธิสังคมนิยมนั้นต้องการ “ลบล้าง” วัฒนธรรมของสังคมทั้งหมด ลบล้างความคิดอื่นๆ ทั้งหมดให้หัวกลวง แล้วยัดใส่ลัทธิสังคมนิยมเข้าไปแทน จึงมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ทำลายล้างวัฒนธรรมมาจนถึงวันนี้
ความเชื่อในลัทธิสังคมนิยมยังคงมีมาจนปัจจุบัน ทั้งในพวกเสื้อแดงและเสื้อส้ม
ทำไมพวกนักการเมืองจึงต้องการทำลายวัฒนธรรม คำตอบก็คือวัฒนธรรมเหมือนน้ำที่ซึมซ่านผสานคนและสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข มันส่งผลให้สังคมแข็งแรงมั่นคง
เมื่อสังคมแข็งแรงมั่นคง นักการเมืองก็ไม่สามารถแบ่งฝ่าย ทำลายสังคมให้แตกแยกได้ เพราะพวกเขาจะขึ้นครองอำนาจได้ ก็ต้องมีฝ่ายของตัวเองคอยหนุน คอยเชียร์ คอยปกป้อง คอยแก้ต่าง “เป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก”
วัฒนธรรมไทยนั้นบรรพชนได้สร้างสมมาเพื่อให้เป็นรากฐานของสังคม ไม่ว่าจะเกิดปัญหาหรือวิกฤตใดๆ ก็จะยังคงอยู่เป็นพื้นที่ให้เหยียบยืนเพื่อก้าวต่อไป ถ้ามันถูกบ่อนเซาะ - ถูกทำลาย
เมื่อใด เมื่อนั้นประเทศไทยก็ล่มสลาย
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี