วันจันทร์ที่ 7 ส.ค. (วันนี้) ลุ้นอัยการนัดฟังสั่งคดีใช้ให้สินบน 20 ล้าน หวังเช่าที่ดิน สนง.ทรัพย์สินฯ
คดีนี้ กองปราบฯ สรุปสำนวนฟ้อง “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” น้องชายนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
1. กรณีเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 นายสกุลธรจึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (น้องชายนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า) พร้อมด้วยทนายความ ได้เดินทางเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กองบังคับการปราบปราม หลังชุดสืบสวนกองปราบฯสอบสวนขยายผล พบว่า นายสกุลธร มีความผิดในการทุจริตร่วมกับผู้ต้องหาที่ถูกพิพากษาไปก่อนหน้าในคดีติดสินบนเจ้าพนักงานเพื่อเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ครั้งนั้น กองปราบฯแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144 ฐาน ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน
นายสกุลธรเปิดเผยแก่สื่อมวลชนสั้นๆ ว่า “ไม่มีอะไรจะชี้แจงถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ คิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องคือการช่วยเหลือราชการ”
นายสกุลธร กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ 2 ราย ที่ถูกศาลพิพากษาไปก่อนหน้านี้ รายละเอียดได้ชี้แจงพนักงานสอบสวนไปแล้ว เป็นรายละเอียดในสำนวนขอไม่เปิดเผย
พ.ต.อ.สัณห์เพ็ชร หนูทอง ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. กล่าวว่า นายสกุลธรให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนรายละเอียดคำให้การต่างๆ อยู่ในสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้
2. ก่อนหน้านี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ(ศาลปราบโกง) มีคำพิพากษาจำคุก นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และ นายสุรกิจ ตั้งวิทูวณิชพนักงานบริษัทเอกชน สองผู้ต้องหารับเงินสินบนเพื่อจัดหาที่ดินของ สำนักงานทรัพย์สินฯ ให้กับนายสกุลธร
ปัจจุบัน ทั้งสองรับโทษแล้ว และได้ออกจากเรือนจำมาแล้ว
รายงานข่าวระบุว่า ทั้งคู่ได้ให้การเป็นประโยชน์ ประกอบกับพนักงานสอบสวนมีคำพิพากษา ระบุชัดเจนว่า นายสกุลธรจ่ายเงินสินบนจำนวน 20 ล้านบาทเพื่อต้องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ย่านชิดลม ต่อมาจากการตรวจสอบพยานหลักฐานจนแน่ชัดแล้วพบว่า มีการสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้กับเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ราย พนักงานสอบสวนกองปราบฯ จึงได้เรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดี
จากแนวทางการสอบสวนประกอบกับคำพิพากษาของศาล พบว่า การกระทำของ นายสกุลธร สำเร็จไปแล้วเพราะมีการจ่ายเงินสินบนไปแล้วจำนวน 20 ล้านบาท จึงมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบฯ ได้พิจารณาข้อกฎหมายด้วยว่า การกระทำของ นายสกุลธรนั้น กรรมการบริหารบริษัทคนอื่นๆ รู้เห็นด้วยหรือไม่ เพราะการกระทำของนายสกุลธร ทำในนามบริษัท หากพบว่าเป็นความผิดกรรมการบริหารฯ ก็อาจจะต้องถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งรวมถึง มารดาและพี่ชาย
3. ขณะนี้ นายสกุลธรยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าตัวปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
เจ้าตัว ยืนยันว่าไม่รู้จักนายประสิทธิ์ เป็นการส่วนตัวและไม่รู้จักเจ้าหน้าที่ในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์คนอื่นด้วย โดยเพิ่งรู้ว่าประสิทธิเป็นใครหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบคดีแล้วเท่านั้น
รู้จักกับสุรกิจในปี 2560 ผ่านนายหน้าอีกคนซึ่งไม่ได้มีความสนิทสนม
อ้างว่า มีการระบุลงไปในสัญญาการจ้างอย่างชัดเจนว่า “ในการปฏิบัติงานนายหน้าจะต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ตามข้อบังคับหรือระเบียบต่างๆ และรวมถึงการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานของวิชาชีพของนายหน้า”
ส่วนการชําระเงินตามที่มีข่าวออกไปชี้แจงว่า เป็นการชําระค่าจ้างในลักษณะของ real estate consultancy ตามคู่สัญญาการค้าที่มีการระบุในสัญญาตามมาตรฐานธุรกิจทั่วไป
สกุลธรชี้แจงว่า การที่ทางบริษัทของเขาตรวจสอบเอกสารจนค้นพบความจริงทั้งหมด แสดงถึงความบริสุทธิ์ว่า ไม่มีการไหว้วานใครให้ไปกระทำการผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังช่วยให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมจนพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสาร ทำให้สามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้ในที่สุด
สกุลธรยืนยันว่า เป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้ และยืนยันในความบริสุทธิ์
ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่นายสกุลธรระบุในแถลงการณ์
4. คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตผู้พิพากษา เคยให้สัมภาษณ์โทรทัศน์เนชั่น ทีวี ช่อง 22
ระบุว่า “ถ้าดูในคำพิพากษา มีการเอ่ยชื่อของคนที่กำลังเป็นข่าว ว่าคนนี้ เป็นคนที่ตกลงให้สองคนเป็นคนเรียกหรือรับจากคนคนนี้ (เรียกสินบนหรือรับสินบนจากคนคนนี้) เพื่อจะไปกระทำผิด”
คุณพีระพันธุ์ บอกว่า “ประเด็นนี้ต่างหากที่ศาลลงโทษ.. ที่ศาลลงโทษ เพราะว่ามีคนคน หนึ่งเป็นคนให้ ถึงทำให้องค์ประกอบความผิดของคนสองคนสมบูรณ์ ที่ทำให้ศาลลงโทษได้”
คุณพีระพันธุ์ตั้งคำถามชวนคิดว่า ถ้าสองคนนี้ไม่ได้รับผลประโยชน์ (คือจำเลยที่ติดคุกไปแล้ว) สองคนนี้จะไปกระทำความผิดไหม ?
คุณพีระพันธุ์ชี้ว่า ถ้าดูจากคำพิพากษาว่ามีการรับเงินมาพื่อตัวเองจะได้ไปทำงาน เอาเงินไปเจรจากับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานฯ เพื่อจะได้กระทำความผิด เพราะฉะนั้น แสดงว่าต้องมีการก่อให้กระทำความผิดเกิดขึ้น ตรงนี้ล่ะเป็นความผิด ฐานเป็นผู้ใช้
คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เคยนำการให้สัมภาษณ์ของคุณพีระพันธุ์ไปอธิบายความ ระบุว่า
“...ท่านผู้ชมครับ ท่านพีระพันธุ์ ท่านน่ารักมาก ท่านอธิบายทางหลักกฎหมาย ท่านบอกว่ากรณีที่อ้างว่าได้ถูกหลอก เพราะจำเลยสองคนทำเอกสารปลอม ท่านพีระพันธุ์ ตอบว่า คนที่ไม่ได้มองในแง่มุมกฎหมาย แต่มองในแง่ความรู้สึก ก็พูดได้ทั้งนั้นล่ะ คือใช้ความรู้สึกพูด ก็พูดได้ทั้งนั้น แต่ในแง่กฎหมาย ท่านพีระพันธุ์ บอกว่า ต้องไปดูเจตนา ท่านยกตัวอย่างว่า สมมุติว่ามีโจรถูกหลอกให้ขึ้นผิดบ้าน ขึ้นปล้นผิดบ้าน แล้วบอกว่าผมไม่ผิด เพราะผมถูกหลอกให้มาผิดบ้านท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับ
ท่านพีระพันธุ์ บอกว่าเรื่องนี้คำพิพากษาเขียนไว้หมดแล้ว อยู่ในคำพิพากษาส่วนหนึ่ง ต้องไปดูในสำนวนเก่าของตำรวจชั้นสอบสวนว่าอย่างไร แต่ต้องมีข้อมูลบางส่วนไม่เช่นนั้นจะยื่นฟ้องไม่ได้ ข้อมูลบางส่วน ที่ผมบอกไง เส้นทางทางการเงินตั้งแต่แรก ทำไมกองปราบฯถึงไม่ส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ไม่ส่งเลย ตั้งแต่มีเรื่องแรกๆ ถ้าส่งไปตั้งแต่มีเรื่องแรกๆ เรื่องก็เรียบร้อยแล้ว
ท่านพีระพันธุ์ บอกว่า มาตรา 143 ถ้าไม่มีคนให้ ไม่มีการเรียก ไม่มีการให้ ก็ไม่มีความผิดอยู่แล้ว แต่ถ้าศาลตัดสินเขาผิดแสดงว่าต้องมีการเรียก/การให้ ประเด็นคือ ใครคือคนให้ คนเรียกสินบนก็ถูกจำคุกไปแล้ว ท่านพีระพันธุ์ ถามต่อว่า “แล้วใครให้ล่ะ ?”
ท่านบอกต่อว่า “ตามหลักกฎหมายเขาดูอะไร ? เขาดูว่าคุณคิด คุณให้ไหม และตัดสินใจจะให้ไหม เมื่อตัดสินใจแล้วคุณให้ไหม ก็ในคำพิพากษาก็เขียนไว้ชัดว่า ก็ให้ไปแล้ว 3 ครั้ง”5 ล้าน 10 ล้าน 5 ล้าน
ท่านพีระพันธุ์ ก็ตอบ คุณสกุลธรอาจจะมีความผิด2 มาตรา คือ มาตรา 143 และมาตรา 84 โดยมาตรา 84 คือเป็นความผิดฐานผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้ใช้คือคนที่ไปก่อหรือมีส่วนร่วมทำให้เขาเกิดการกระทำความผิด
ประเด็นคือ ถ้าไม่มีการให้ ตกลงว่าจะให้เงินผลประโยชน์จำนวนนี้ เขาจะทำไหม ? ก็ถ้าไม่มีเงินตรงนี้ ไม่มีผลประโยชน์ตรงนี้ เขาก็ไม่ไปทำ อันนี้คือมาตรา 84 มันเกิดไม่ได้ แต่ความผิดตามมาตรา 143 เกิดขึ้นได้ แปลว่า เขาตกลงตามที่รับว่าจะโดนหลอกหรือไม่ คือให้ผลประโยชน์เขาไปเพื่อให้เขาดำเนินการเจรจาเพื่อให้ตนเองได้มา แล้วเขาก็ปลอมโน่นปลอมนี่ออกมาด้วย นี่คือมาตรา 143 และมาตรา 84
...ท่านพีระพันธุ์ พูดต่อว่า ถ้าผมมองในแง่กฎหมาย สำนวนฟ้องที่สองมีน้ำหนักมากขึ้นแล้ว เพราะสำนวนที่หนึ่งมีคำพิพากษาของศาลมายืนยัน ท่านพีระพันธุ์ พูดว่า ถ้าคำพิพากษาของศาลใช้ไม่ได้ แล้วจะไปลงโทษจำคุกคนสองคนได้อย่างไร นึกออกไหม ถ้าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในคำพิพากษาฟังไม่ได้ โต้แย้งไม่ได้ ก็ตัดสินผิดสิ
ท่านผู้ชมครับ นี่คือคำพูดของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษา...”
5. ล่าสุด สถานีข่าว Top News ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าว
รายงานว่า พนักงานสอบสวนกองกำกับการ 1 กองปราบปราม มีความเห็นสั่งฟ้องนายสกุลธร 2 ข้อหา ได้แก่ “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ และประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่” และ “เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบ ด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล”
ส่วนข้อหาที่ไม่สั่งฟ้อง คือ “ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่”
ทั้ง 2 ข้อหา พนักงานสอบสวนกองปราบฯได้ส่งสำนวนฟ้องถึงมืออัยการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอัยการจะนัดฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องในวันจันทร์ ที่ 7 สิงหาคมนี้
6. นายธนาธร พี่ชายนายสกุลธร เคยรอดคดีในชั้นอัยการ หลายคดี อาทิ
คดี พ.ร.บ.คอมพ์ กรณี live โจมตีพลังดูดคสช. ปรากฏว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง
คดีผิดกฎหมายเลือกตั้งฯม. 151 ถือหุ้นสื่อมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังไปสมัคร สส. ปรากฏว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง
คดีรุกป่าที่จังหวัดราชบุรี ถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิแล้ว (ทั้งนายธนาธา แม่ และพี่สาว) แต่คดีอาญายังอยู่ในชั้นอัยการ
บางคดี อาทิ คดี ม.112 กล่าวโจมตีให้ร้ายปมวัคซีนพระราชทานฯ ปรากฏว่า อัยการสั่งฟ้องนายธนาธร ขณะนี้ คดีอยู่ในชั้นศาล
นายธนาธร เป็นประธานคณะก้าวหน้า เคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ วิพากษ์วิจารณ์การจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แต่ปรากฏว่า น้องชายกลับมีพฤติกรรมถูกดำเนินคดีข้อหาใช้ให้สินบนเพื่อได้เช่าที่ดินสำนักงานทรัพย์สินแปลงงาม โดยไม่ต้องประมูล
น่าสนใจว่า คดีสินบน 20 ล้าน น้องชายนายธนาธรอัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่?
จะเป็นเหมือนคดีนายธนาธรหลายคดี หรือคดีบอส หรือไม่?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี