นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับเชิญไปกล่าวปราศรัยกับนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ฉวยโอกาสกล่าวอ้างในทำนองว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ เหมือนกับวิถีก้าวไกล”
ทั้งได้ใช้โอกาสนี้ กดดัน โจมตีวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ โจมตีระบบและกระบวนการยุติธรรม
กล่าวบิดเบือนกติกาตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากทำให้ตนเสียผลประโยชน์ทางการเมือง
แต่ฟอกตัว กลบเกลื่อนประเด็นสาระสำคัญที่ทำให้ตนเองถูกดำเนินคดีถือครองหุ้นสื่อ
รวมถึงกรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ปลุกปั่นสร้างความสับสนด้วยวาทกรรมเสียงข้างมาก ทั้งๆ ที่ พรรคตนเองได้ สส. แค่ 151 เสียง ฯลฯ
หลังจากนั้น จึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาทันที
1. นายเกษมสันต์ วีระกุล ในฐานะกรรมการศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า
“ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ มธ.เชิญพิธา ไปพูดในงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์เหมือนกับวิถีก้าวไกล”
ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง ขอยืนยันว่า จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ที่ผมและศิษย์เก่าจํานวนมากก็มีนั้น ต่างจากวิถีก้าวไกลโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้พวกเราก้าวร้าว ก้าวล่วงและพยายามจะเปลี่ยนแปลงสถาบัน หลักของชาติแต่อย่างใด
อีกทั้งพิธาเองยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมสงสัยและกําลังโดนตรวจสอบทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจและการเมือง ดังนั้นพิธาจึงไม่ควรจะเป็นตัวอย่างศิษย์เก่า มธ.ที่ดีจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองให้ได้เสียก่อน
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่าจะตระหนักให้มากกว่านี้ถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ รวมถึงความอ่อนไหวของอารมณ์และความรู้สึกของ นักศึกษาและประชาชนในปัจจุบัน”
2. นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า
“สมัยผมเป็น “นศ.มธ.” เราต่อต้าน จักรวรรดินิยมตะวันตก
แต่เด็ก นศ.สมัยนี้กลายเป็น “เหยื่อ” และ “หมากเบี้ยขุน” ให้จักรวรรดินิยมเอาไว้ใช้งาน ดิสเครดิตประเทศบ้านเกิดตัวเอง
จิตวิญญาณมันต่างกันจริงๆ”
3. รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า
“ก่อนวันที่คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไปแสดงปาฐกถาในงานปฐมนิเทศเพื่อนใหม่(คำที่นศ.มธ. ใช้กัน)ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ญาติสนิทท่านหนึ่งมีหลานที่สอบเข้าธรรมศาสตร์ได้โทรมาถามว่า งานปฐมนิเทศของธรรมศาสตร์นี่ต้องไปไหม ทำไมดูรายการแล้วแปลกๆ ชอบกล พร้อมทั้งส่ง link มาให้
เข้าไปดูก็เห็นรายละเอียดว่า นอกจากนักศึกษาใหม่จะได้พบกับอธิการบดี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา และผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาแล้ว ยังมีคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะศิษย์เก่าเป็นแขกรับเชิญพิเศษ(special guest)อีกด้วย
ผมก็ตอบท่านไปว่า เป็นงานปฐมนิเทศของมหาวิทยาลัย นักศึกษาใหม่ก็ควรต้องไป
ว่าที่จริง ทั้งอธิการบดี และรองอธิการบดีทั้ง 2 ท่าน เป็นผู้ที่ผมรู้จักมักคุ้นทั้งสิ้นและพอจะรู้ว่าคนไหนยืนอยู่ข้างไหนในทางการเมือง แต่ก็ไม่วายแปลกใจว่า ทำไมจึงกล้าเชิญคุณพิธามาเป็นแขกรับเชิญพิเศษและยกเวทีให้คุณพิธาได้แสดงปาฐกถาให้ทั้งอาจารย์ และนักศึกษาใหม่ที่ต้องเข้าร่วมงานปฐมนิเทศฟังโดยไม่กลัวข้อครหาใดๆ
เป็นเรื่องธรรมดาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเชิญศิษย์เก่ามาเล่าประสบการณ์ให้นักศึกษาใหม่ฟัง เพราะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีศิษย์เก่าจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ทุกด้าน ในอดีต
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยมีความภาคภูมิใจที่ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ดำรงตำแหน่งประมุขของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา และประธานศาลฎีกา
การจัดงานปฐมนิเทศเท่าที่ผมเคยมีประสบการณ์ในฐานะผู้จัด ก็จะเชิญศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อเป็นแบบอย่าง และเล่าถึงเส้นทางของความสำเร็จให้นักศึกษาใหม่ฟัง และจะเชิญมาหลายคนให้อภิปรายพร้อมกัน เช่น จากภาคการเมือง ภาคธุรกิจ ภาคราชการ ภาคตุลาการ เป็นต้น
แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีภาคเดียวและคนเดียว คือ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เรียกได้ว่าเป็น highlight ของงานเลยทีเดียว
การแสดงปาฐกถาของคุณพิธา แม้ว่าจะมีการให้หลักคิดแก่นักศึกษาบ้าง แต่ก็ไม่วายที่จะพูดเรื่องการเมือง ซึ่งเนื้อหาไม่ต่างอะไรกับการปราศรัยต่อมวลชนในจังหวัดต่างๆ หลังจากที่ไม่ผ่านการลงมติให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ทั้งยังกล่าวเสียดสีวุฒิสมาชิก และกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
แต่ที่ศิษย์เก่าจำนวนมากรับไม่ได้ที่สุดก็คือ การที่คุณพิธากล่าวว่า จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ก็เป็นวิถีของพรรคก้าวไกล
เมื่อพูดถึง “จิตวิญญาณธรรมศาสตร์” คงไม่มีข้อความใดที่แสดงถึงจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ได้ดีเท่ากับข้อความของ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ “ศรีบูรพา” ที่กล่าวถึงนักศึกษาและบัณฑิตของธรรมศาสตร์ไว้ดังนี้
“นักศึกษาและบัณฑิตของ ม.ธ.ก. มีความรักในมหาวิทยาลัยของเขามิใช่เหตุแต่เพียงว่าเขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยนี้ เขาได้วิชาความรู้ไปจากมหาวิทยาลัยนี้ เขารักมหาวิทยาลัยนี้ เพราะว่ามีธาตุบางอย่างของมหาวิทยาลัยนี้ที่สอนให้เขารู้จักรักคนอื่น รู้จักคิดถึงความทุกข์ยากของคนอื่น เพราะว่ามหาวิทยาลัยนี้ไม่กักเขาไว้ในอุปาทาน และความคิดที่จะเอาแต่ตัวรอดเท่านั้น”
พฤติกรรมของพรรคก้าวไกล และบรรดาด้อมส้ม มีอะไรที่สะท้อนข้อความข้างต้นหรือไม่
ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ความเป็นธรรมศาสตร์ที่แท้จริงนั้นจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่พูดโกหกเพื่อเอาตัวรอด ต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น พฤติกรรมของความก้าวร้าว รุนแรง หยาบคาย ต่ำทราม ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ของด้อมส้ม เคยมีใครในพรรคก้าวไกลออกมาห้ามปรามหรือไม่ นอกจากไม่ห้ามปรามแล้วยังปกป้องสนับสนุนอีกด้วย
คุณพิธาเอง เป็นที่ประจักษ์ว่าพูดไม่จริงและพูดความจริงครึ่งเดียวหลายเรื่อง
กรณีกลับมางานศพของคุณพ่อคุณพิธา กรณีหาเสียงที่ไปสัญญาว่า จะให้เงินผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท ทั้งที่รู้ว่ากว่าจะได้ 3,000 บาท ต้องรอถึงปี 2570 แต่เลือกที่จะไม่พูดถึงเวลาที่จะได้จริง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนจุดยืนได้หน้าตาเฉยเพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียง เช่นในกรณี กัญชาเสรี
แต่เรื่องที่ใหญ่มากคือ คำถามเรื่องจริยธรรมและธรรมาภิบาลในช่วงที่คุณพิธาบริหารบริษัท oil for life ของครอบครัว ที่สร้างภาพว่าได้กอบกู้บริษัทจากขาดทุนมาเป็นกำไร ทำให้คุณพิธามีชื่อเสียงขึ้นมาในขณะนั้น ในฐานะ “อายุน้อยร้อยล้าน” แต่หลังจากนั้น บริษัทขาดทุนจนอาจถึงขั้นล้มละลาย เรื่องนี้กลับเงียบ หากคุณพิธาไม่ได้เล่นการเมือง ก็คงไม่มีใครขุดคุ้ยขึ้นมา
กรณีที่บริษัท oil for life ให้กู้ยืมเงิน 117 ล้านแก่บุคคลที่ไม่เปิดเผยชื่อ โดยไม่มีดอกเบี้ย เมื่อไม่มีการชำระหนี้คืน แทนที่จะฟ้องร้องกลับตัดเป็นหนี้สูญ กรณีที่บริษัท oil for life เป็นหนี้ธนาคาร 460 ล้าน ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งคุณพิธาเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ก้อนนี้ด้วย และกำลังจะถูกธนาคารอย่างน้อย 3 แห่งฟ้องให้ชำระหนี้ เรื่องเหล่านี้คุณพิธา ไม่เคยชี้แจงต่อสาธารณะได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว
นี่หรือคือ “จิตวิญญาณธรรมศาสตร์” ควรหรือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเชิญคุณพิธาไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษแต่เพียงผู้เดียวเพื่อเป็นแบบอย่างให้นักศึกษาใหม่ในงานปฐมนิเทศ หรือผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่าคุณพิธาได้รับความนิยมสูงจากคนรุ่นใหม่ จึงเชิญมาโดยไม่พิจารณาคุณสมบัติอื่นๆ ของคุณพิธาเลย
หรือเชิญมาเพื่อเปิดโอกาสให้คุณพิธาสร้างคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้
ผมไม่ขอตัดสินว่า เหตุผลที่แท้จริงที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญคุณพิธามาเป็นแขกพิเศษและให้แสดงปาฐกถาในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่คืออะไร
เพราะท่านทั้งหลายที่มีเหตุมีเหตุผลพอและมีใจเป็นธรรม ควรจะตัดสินได้เอง”
4. ผู้บริหารธรรมศาสตร์จะไม่รู้เลยหรือ ว่าพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้าพยายามเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยหวังใช้มวลชนเยาวชนหนุ่มสาวเป็นฐานไปในทิศทางใด
การรุกเข้าไปในโรงเรียนผ่านรูปแบบต่างๆ มากมาย
หรือแม้กระทั่งการจัดหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า ของ Progressive Academy ที่มีวิทยากรที่มีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดมาแล้ว 2 ครั้ง
ล่าสุด แม้แต่ประเด็นที่รัฐสภาไม่โหวตผ่านให้นายพิธาเป็นนายกฯ ก็เพราะการที่จะเดินหน้าแก้มาตรา 112 ในทิศทางที่ลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ เปิดช่องให้ผู้จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันไม่ต้องรับโทษได้ ไม่เคารพความเห็นตัวแทนเสียงข้างมากที่แท้จริงนั่นเอง
ประการสำคัญ เป็นแนวทางให้ท้ายและเป็นคุณแก่ผู้ที่ต้องการจะบั่นเซาะบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เปิดช่องให้ขบวนการสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้อ่อนแอลง และเป้าหมายสูงสุดก็คือการเปลี่ยนประเทศให้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการ
5. สุดท้าย ขอประณามผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยในอดีต ปกป้องลูกศิษย์ มิให้ถูกนักการเมืองหาผลประโยชน์
แต่ยุคปัจจุบัน ฉวยโอกาสวันพบเพื่อนใหม่ เปิดให้นักการเมืองที่มีผลประโยชน์การเมืองส่วนตัว มีคดีส่วนตัว มีวาระเฉพาะตัว เข้ามาป้อนยาพิษให้ลูกศิษย์
คนทำแบบนี้ได้ ช่างน่าสมเพช น่าละอาย และขี้ขลาดที่อาศัยเก้าอี้ธรรมศาสตร์เป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวแทนการออกหน้าเองตรงๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี