ผมก็เป็นเช่นเดียวกันกับคนไทยทั่วๆ ไป ที่ต่างสนใจเรื่องการบ้านการเมือง จึงติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบทบาท และถ้อยแถลงว่าด้วยความคิดความอ่านเกี่ยวกับความเป็นไปในบ้านเมืองของบรรดาผู้นำทางการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของราชอาณาจักรไทย เพราะถือเป็นตำแหน่งอันสำคัญในการที่จะนำพาบ้านเมืองไทยให้เดินหน้าออกจากปัญหาเหนี่ยวรั้งต่างๆ รวมทั้งช่วยอำนวยให้บ้านเมืองไทยของเรารุดหน้าไปได้อย่างสง่างาม และมั่นคง
แต่เท่าที่ได้สดับตรับฟังมา โดยเฉพาะในถ้อยแถลงว่าด้วยนโยบาย ทิศทางและมาตรการ ที่จะนำพาประเทศไทยไปข้างหน้าของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 11-12 กันยายน 2566 และรวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ในโอกาสต่างๆ ไปจนถึงการหารือภายในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และมติที่ออกมาสู่สาธารณชนนั้น ผมฟังแล้วมีความรู้สึกว่า ข่าวคราวทั้งหมดในระยะที่ผ่านมาเกี่ยวกับตัวนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีนั้น ดูจะขาดๆ เกินๆ เสมือนน้ำแกงที่ขาดรสชาติ ดูประแหล่มๆ อย่างไรชอบกลอยู่
เมื่อผมมานั่งไตร่ตรองทบทวนดูว่า และอะไรที่ทำให้ผมมีความรู้สึกเช่นนั้น? ก็ได้คำตอบในใจว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ไม่เคยได้พูดถึงภาพรวม (The Big Picture) ของราชอาณาจักรไทยเราเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าวิตกที่ผู้นำประเทศที่อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองจะไม่คิด ไม่ตระหนัก และมิได้แสดงองค์ความรู้ใดๆเกี่ยวกับภาพใหญ่ของชาติไทยเรา เพราะการจะเป็นผู้นำประเทศก็ต้องมีความรู้ว่า โดยรวมๆ แล้วประเทศอยู่ในสภาพหรือฐานะใด มีจุดอ่อนจุดแข็ง มีความสำเร็จหรือความเป็นเลิศในเรื่องใดบ้าง และมีจุดด้อยหรือข้อบกพร่องใดๆ บ้าง และประเทศไทย ณ วันนี้ยืนอยู่ตรงไหนในโลกกว้าง อยู่ในระดับความเจริญก้าวหน้าแค่ไหนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และกำลังเผชิญกับความท้าทายต่างๆ อย่างไร ที่ชาติไทยจะต้องฟันฝ่าและรับมือกับมันได้
เมื่อนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ไม่ตระหนักในเรื่องภาพรวม ผลอย่างหนึ่งก็คือ การประกาศและดำเนินนโยบาย รวมถึงการวางมาตรการต่างๆ จึงเป็นในแบบที่เป็นกรณีๆ หรือเป็นเรื่องๆ ไป ไม่มีความปะติดปะต่อ ไม่มีการบูรณะ บูรณาการ และมักจะเน้นเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อรักษาฐานเสียง เพิ่มคะแนนนิยม และปัดปัญหาให้พ้นไปจากตัวไปวันๆ หนึ่ง ซึ่งมิใช่คุณสมบัติที่ดีที่พึงควรของผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะของประเทศใด
แต่กระนั้นก็ดี ยังไม่เป็นการสายเกินไปที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่ถือเป็นผู้ได้เห็นโลกมากมายประสบความสำเร็จอย่างสูงในเรื่องธุรกิจการงาน จะหันกลับมาปรับกระบวนยุทธให้สอดคล้องกับสถานะและศักยภาพของราชอาณาจักรไทยเสียใหม่
นอกจากนั้นการจะเป็นผู้นำประเทศที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงซึ่งความรู้สึกหรือจิตใจของประชาชนพลเมืองนั้น การอ่านถ้อยแถลง การให้สัมภาษณ์ บ่งบอกซึ่งความตั้งใจที่สวยงาม สูงส่ง และการออกไปปรากฏตัวเพื่อจะแสดงความใกล้ชิด และเป็นกันเองกับประชาชนพลเมืองนั้น ก็คงไม่เป็นการเพียงพอ ถ้าพฤติกรรมต่างๆ นั้น ไม่ได้บ่งบอกซึ่งความจริงจัง จริงใจ และไม่ได้สะท้อนซึ่งความในใจทั้งในเรื่องอุดมคติและอุดมการณ์
การจะนำพาประเทศนั้น ผู้นำประเทศจะต้องแสดงทั้งวิสัยทัศน์ และความซื่อสัตย์ซื่อตรงให้ประชาชนพลเมืองได้ตระหนักอย่างไม่เป็นที่สงสัย อะไรเล่าคือความในใจของนายกรัฐมนตรี เศรษฐาทวีสิน เกี่ยวกับสถานะของประเทศไทย? และอะไรที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ต้องการที่จะกระทำการอย่างมุ่งมั่นที่จะนำพาให้ชาติบ้านเมืองไทยเจริญก้าวหน้า หลุดพ้นจากสภาพการเมืองแห่งผลประโยชน์ จากสภาพการเมืองที่มีการมุ่งเข้ามาเพื่อหาเศษหาเลย และจากสภาพการเมืองที่เต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ และการใช้อำนาจหน้าที่แบบผิวเผินเอาตัวรอดไปวันๆ หนึ่ง?
นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน มาจากครอบครัวผู้ดีพร้อมด้วยเครือญาติที่มีชื่อเสียงมากมาย เป็นที่ยอมรับของสังคมในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และในเรื่องการทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งความดีต่างๆ เหล่านั้นก็น่าจะเป็นภูมิคุ้มกัน และช่วยส่งเสริมให้นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน สามารถทำงานทำการให้แก่บ้านเมืองทั้งด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างเข้มแข็ง ไม่เกรงกลัวไม่อยู่ในอาณัติของโจรสังคมใดๆ ทั้งสิ้น
แต่จนบัดนี้ ผมก็ยังรอที่จะฟัง The Big Picture จากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน อยู่นะครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี