ได้ติดตามข่าวคราวเรื่องงบประมาณปี 2567 แล้ว ช่างวิเวกวังเวงเป็นอันมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐบาลเศรษฐาเห็นท่าจะถูกผีอำอยู่เป็นแน่ เพราะที่แถลงว่างบประมาณปี 2567 อาจจะใช้ได้หลังเดือนเมษายน 2567 ไปแล้ว หมายความว่าจะล่าช้าไปถึง 7 เดือน และเหลือเวลาอีก 5 เดือนก็จะสิ้นปีงบประมาณ 2567 แล้ว
เบื้องต้นสรุปได้ว่ากรอบงบประมาณปี 2567 ที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติคือวงเงิน 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากแนวคิดเดิมประมาณ 180,000 ล้านบาท และเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบงบประมาณแล้วก็จะได้ยกร่างเป็นกฎหมายงบประมาณและแผนงบประมาณ รวมทั้งแผนจัดหารายได้ที่จะนำเงินมาใช้จ่ายตาม
งบประมาณต่อไป
ปกติปีงบประมาณจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปี ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 9 วัน ก็จะสิ้นปีงบประมาณ 2566 และเริ่มต้นปีงบประมาณ 2567 แล้ว หมายความว่าตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไปรัฐบาลยังไม่มีกฎหมายงบประมาณเป็นเครื่องมือในการใช้จ่ายเงินแผ่นดินเป็นการเฉพาะปีงบประมาณ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567
แต่รัฐธรรมนูญผ่อนผันให้นำกรอบงบประมาณ 2566 มาใช้ไปพลางก่อนได้ หมายความว่าวงเงินงบประมาณในปี 2566 นั้นให้นำมาเป็นกรอบใช้ไปพลางก่อน แต่ส่วนใหญ่ของงบประมาณปี 2566 กว่า 70% เป็นรายจ่ายประจำ เช่นเงินเดือน ค่าจ้าง และที่เหลืออีกก็เป็นรายจ่ายผูกพันที่มีโครงการตกลงจ่ายไว้แล้ว รอแต่การจ่ายเงินจริงเท่านั้น รวมความก็คือแทบไม่มีเงินที่จะนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาหรือทำโครงการใหม่ได้เลย
นี่ก็เป็นวิกฤตที่สุดอีกอย่างหนึ่งของรัฐบาลเศรษฐา คือเข้ามาบริหารบ้านเมืองก็เหมือนคนถังแตกคือไม่มีเงินในมือจับจ่ายใช้สอย วงเงินที่ให้ใช้พลางก่อนได้ก็มีแต่ลม มีสภาพไม่ต่างกับผู้ว่าฯกทม. ที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาแล้วก็ไม่มีเงินใช้สอย หรือว่านี่ก็เป็นไสยศาสตร์ทางกฎหมายอีกชนิดหนึ่งที่จะทำให้รัฐบาลเศรษฐาสะดุดขาตัวเองล้มคะมำลงเมื่อใดก็ได้
การที่รัฐบาลเศรษฐาเปิดเผยท่าทีว่างบประมาณปี 2567 จะใช้ได้หลังเดือนเมษายน 2567 มีลักษณะเสียฟอร์มของนายกรัฐมนตรีที่มีพื้นฐานเป็นนักธุรกิจ
หัวก้าวหน้าอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการปล่อยลอยชายไปตามลม ไม่ได้ใช้มาตรการพิเศษในการเร่งรัดหรือจัดการให้งบประมาณ 2567 ได้ออกมาใช้บังคับให้เร็วที่สุดเลย
ท่าทีอย่างนี้ก็เหมือนกับสวะที่ลอยไปตามน้ำ กระแสน้ำพัดอย่างไรก็ลอยไปอย่างนั้น เหมือนไม่มีจิตไม่มีใจ อย่างนี้จึงกล่าวได้ว่าเหมือนกับผีสิงอยู่ ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล เมื่อได้อ่านบทความนี้แล้วช่วยส่งให้นายกรัฐมนตรีอ่านผ่านสายตาสักหน่อยเถิด เผื่อจะบังเกิดเป็นอานุภาพให้ตื่นตัวขึ้นและอาจทำให้งบประมาณ 2567 ใช้บังคับได้เร็วขึ้น
อันกฎหมายงบประมาณนั้นเมื่อคณะรัฐมนตรีกำหนดกรอบงบประมาณแล้วก็จะมีการจัดทำเป็นกฎหมายงบประมาณและเอกสารประกอบงบประมาณ เสนอต่อสภาผู้แทนและวุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบ แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าตราเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ดังนั้นถ้าใช้กรอบเวลาปกตินับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบงบประมาณ หรือกรอบเวลาในการพิจารณาของทั้งสองสภาแล้วก็เท่ากับไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไปเหมือนสวะตามน้ำ กฎหมายงบประมาณก็จะเสร็จและใช้บังคับหลังเดือนเมษายน 2567 ตามที่แถลงนั่นเอง
ดังนั้นเพื่อให้สมฟอร์มนายกเศรษฐาซึ่งมีพื้นฐานมาจากนักธุรกิจหัวก้าวหน้า ก็ควรจะปรับเวลาให้สอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองเพื่อให้มีการตรากฎหมายงบประมาณใช้บังคับให้เร็วที่สุด โดยปรับเวลาใหม่ดังนี้
กรอบที่หนึ่ง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำร่างกฎหมายงบประมาณและเอกสารประกอบงบประมาณให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน เพื่อให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในกลางเดือนตุลาคม 2566
กรอบที่สอง ประสานงานและขอความร่วมมือกับสภาผู้แทนราษฎรให้สมาชิกทั้งหลายพิจารณาศึกษาเรื่องงบประมาณล่วงหน้า กำหนดกรอบเวลาทั้งวาระแรก วาระที่สอง และวาระที่สาม ให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน
กรอบที่สาม ประสานงานและขอความร่วมมือกับวุฒิสภาให้สมาชิกทั้งหลายพิจารณาศึกษาล่วงหน้าและกำหนดกรอบพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 20 วัน
ซึ่งต้องอาศัยการประสานงาน การขอความร่วมมือ และต้องประสานงานชี้แจงให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งภายใต้กรอบเวลานี้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 กฎหมายงบประมาณ 2567 ก็จะใช้บังคับได้ ก็จะล่าช้าไปเพียง 2 เดือน และมีเวลาใช้จ่ายเงินตามกฎหมายงบประมาณนั้นถึง 10 เดือน แทนที่จะเหลือเวลาแค่ 5 เดือน
นอกจากนั้น จำเป็นจะต้องเข้าใจว่าในเวลา 3-4 เดือนแรกของปีงบประมาณ คือภายในเดือนมกราคมของปีหน้าเป็นอย่างช้าจะต้องเร่งรัดจ่ายเงินงบประมาณเพื่อการพัฒนาออกไปให้ถึง 70% เพื่อเร่งรัดการพัฒนาและเร่งให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบการเงินของประเทศ เพื่อเติมสภาพคล่องและเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อกฎหมายงบประมาณ 2567 ใช้บังคับ จะต้องกำกับส่วนราชการทั้งหลายให้เร่งบริหารราชการเพื่อให้เม็ดเงินไหลลงสู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศให้ได้ร้อยละ 70 ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เป็นอย่างช้า
อย่างนี้จึงจะกล่าวได้ว่าทำงานเป็น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี