หนังสือพิมพ์แนวหน้าเชื่อมั่นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยมีความรักชาติ รักบ้านรักเมือง และรักความถูกต้องชอบธรรม ไม่ต้องการทำตัวให้เป็นภาระกับประเทศชาติไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศของเราต้องมีหนี้มีสินมากมายมหาศาล โดยเฉพาะหนี้สินที่เกิดจากการโฆษณาหาเสียงด้วยนโยบายโฆษณาชวนเชื่อแล้วกลายเป็นการสร้างภาระหนี้สินให้กับคนไทยทุกคนและลูกหลานของเราในอนาคต
ดังนั้น จึงขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกลุ่ม “ไม่รับเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาทจากรัฐบาล”แต่ขอให้รัฐบาลเร่งทบทวนการพยายามผลักดันนโยบายโฆษณาชวนเชื่อนี้โดยด่วน เพราะนโยบายนี้จะสร้างผลลบ ผลร้ายต่อบ้านเมือง และต่อประชาชนอย่างมหันต์ในอนาคต และจะทำให้ประเทศชาติต้องมีหนี้สินพอกพูนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังคาดได้ถึงสถานการณ์ที่น่าจะเลวร้ายอย่างหนักจากนโยบายดังกล่าวได้ว่า การพยายามหว่านแจกเงินจากการหาเสียงด้วยนโยบายโฆษณาชวนเชื่อของพรรคเพื่อไทย จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพราะรัฐบาลต้องก่อหนี้เพิ่มเติมโดยไม่ได้ทำให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด
การหาเสียงดึงคะแนนนิยมการเมืองให้ตนเอง ด้วยการประกาศนโยบายที่ทำให้ประเทศชาติเกิดปัญหาวิกฤตการคลัง คือการจงใจทำลายประเทศชาติอย่างชัดเจน พรรคเพื่อไทยประกาศหาเสียงด้วยการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต รายละ 1 หมื่นบาท ทั้งๆ ที่ไม่มีปัญญาหาเงินมาทำให้นโยบายโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวเป็นจริงได้ แต่กลับประกาศว่าจะแจกเงินเมื่อตนเองได้เป็นรัฐบาล
มาบัดนี้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลแล้ว แต่ปัญหาคือพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะมีปัญญาหาเงินจากที่ไหนมาแจกประชาชนตามคำโฆษณาหาเสียง โดยไม่ทำให้ประเทศชาติเกิดหนี้สินเพิ่มพูนมากขึ้นจนนำไปสู่วิกฤตการด้านการคลังของประเทศ
จวบจนบัดนี้ รัฐบาลยังไม่มีปัญญาประกาศให้ชัดว่าจะหาเงินจากแหล่งใดไปใช้ผลักดันให้โครงการหว่านเงินหัวละ 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ตเกิดขึ้นได้จริงๆ จะกูู้เงินจากนอกประเทศ หรือจะกู้เงินในประเทศก็คงไม่กล้ากู้ เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะให้ประเทศมากขึ้น แต่การที่จะใช้อำนาจรัฐไปดูดเงินออกมาจากธนาคารของรัฐบางแห่ง คือธนาคารออมสิน ก็น่าจะทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะธนาคารออมสินจะมีเงินมากมายมหาศาลเพียงนั้นให้รัฐบาลดูดไปใช้ก็คงยากมาก
รัฐบาลใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจะกล้าประกาศใช้มาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อดูดเงิน 5.6 แสนล้านบาทไปถลุงในนโยบายดังกล่าวจริงๆ หรือจะบังอาจดึงและดูดเอาเงินงบประมาณแผ่นดิน ปี พ.ศ. 2567 ไปใช้ เรื่องนี้ก็ต้องตามดูกลอุบายของรัฐบาลชุดนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีมาจากพ่อค้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกล้าประกาศขยายกรอบวงเงินการใช้เงินนอกงบประมาณ ตามมาตรา 28 ขึ้นไปอีกหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันกำหนดเพดานวงเงินไว้ที่ ร้อยละ 32 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยอาจปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 45 ถ้าหากรัฐบาลชุดนี้กล้าทำ ก็จะทำให้ในปีงบประมาณ 2567 ส่งผลให้รัฐบาลมีเงินนำไปใช้ในโครงการหว่านแจกเงินหัวละ 1 หมื่นบาท โดยต้องใช้งบฯ เพิ่มอีกกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งวงเงินที่จะถูกนำไปถลุงในนโยบายหาเสียงดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลไม่มีเงินเพียงพอสำหรับทำกิจกรรมอื่นๆ ในการบริหารประเทศได้
อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่ารัฐบาลให้คำสัญญาลอยๆ ว่าจะพยายามใช้หนี้ที่รัฐบาลก่อขึ้นจากนโยบายนี้ให้ได้ภายในสามปี แต่คำถามคือ รัฐบาลจะเอาปัญญาอะไรไปหาเงินเพื่อใช้หนี้ที่ก่อขึ้น จะต้องก่อหนี้ใหม่เอาไปใช้หนี้เก่า กระนั้นหรือ แล้วหากไม่สามารถทำตามคำพูดได้ รัฐบาลจะรับผิดชอบอะไร เพราะหลายต่อหลายเรื่องที่รัฐบาลได้พูดไปแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้ตามคำพูด แล้วก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลจะแสดงความรับผิดชอบอะไรมากไปกว่านิ่งเฉย
ดังนั้น ทางที่ดีที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าขอเสนอให้สาธารณชนนำไปพิจารณาคือ เข้ารวมกลุ่มแล้วประกาศชัดเจนว่าไม่รับเงินดิจิทัล วอลเล็ต เพราะไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาระหนี้สินให้กับลูกหลานของเราในอนาคต เพราะวิญญูชนมั่นใจว่า เมื่อรัฐบาลนี้ก่อหนี้เพิ่มเติมแล้ว รัฐบาลไม่มีปัญญาชดใช้หนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้อย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี