ประเทศไทยติดอันดับที่ 13 ของโลก ในเรื่องที่มีพลเรือนครอบครองอาวุธปืนมากที่สุด ที่ 10.3 ล้านกระบอก
คิดเป็นสัดส่วนการครอบครองปืน มากเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
ถ้าเทียบเป็น “สัดส่วนปืนต่อประชากร” ประเทศไทยมีการครอบครองปืนเฉลี่ย 15 กระบอกต่อประชากร 100 คน
นี่คือข้อมูลจากการสำรวจของ Small Arms Survey (SAS) องค์กรที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธเบาของสวิตเซอร์แลนด์
จากข้อมูลของ SAS จะพบว่า จากจำนวนปืน 10.3 ล้านกระบอกในประเทศไทยนั้น มีเพียง 6.2 ล้านกระบอกเท่านั้นที่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย อีกกว่า 4.1 ล้านกระบอก เป็นปืนที่ไม่มีทะเบียน หรือปืนเถื่อน
ซึ่งมีทั้งปืนที่ลักลอบนำเข้ามาขาย ปืนที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง
ช่วงหลัง การยิงคนตายส่วนใหญ่ มาจากปืนเถื่อน
การก่ออาชญากรรมที่ใช้ปืน การฆ่า การปล้นต่างๆ ก็ปรากฏว่าคนร้ายจะใช้ปืนดัดแปลงเป็นส่วนใหญ่ ทั้งจากแบลงค์กัน บีบีกัน ซึ่งอันตราย ฆ่าคนตายได้เหมือนปืนจริง
1. ทำไมพลเรือน หรือชาวบ้าน ถึงครอบครองอาวุธปืน?
สาเหตุมีตั้งแต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ต้องการมีอาวุธปืนไว้ครอบครองเพื่อป้องกันตัว ปกป้องทรัพย์สิน
รวมไปถึงความชอบจากรสนิยม การสันทนาการ หรือแม้แต่ค่านิยมที่เสพความรุนแรง
2. เราอาจยอมรับว่า การครอบครองปืนเพื่อปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินตนเองนั้น มีเหตุผลอยู่บ้าง ป้องกันโจรขึ้นบ้าน เอาไว้ยิงต่อสู้ป้องกันการบุกรุก
แต่การพกพาปืนออกนอกบ้าน แม้จะอ้างว่า เพื่อป้องกันตัวเอง ก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้พกออกมา คนที่พกปืนย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
จากป้องกันตัวเอง ก็พลอยได้ข่มขู่ หรือแม้แต่คุกคามผู้อื่นจากความได้เปรียบของตัวเอง
3. หากจะอ้างว่า กลางค่ำกลางคืน ในยามวิกาล จำเป็นต้องมีปืนเพื่อออกไปไหนต่อไหน แบบนี้ก็ยอมรับไม่ได้
มิฉะนั้น ทุกคนก็ควรมีสิทธิพกปืน หรือพกอาวุธอย่างอื่นไว้ป้องกัน ตามความสมัครใจกันได้หมด
ตำรวจจะต้องรับผิดชอบงานหลัก คือ “ปราบคนพาล อภิบาลคนดี” พิทักษ์สันติราษฎร์
เมื่อห้ามคนพกปืนออกนอกบ้าน ตำรวจก็ต้องกวดขันตรวจตราจับกุมคนที่พกปืนออกมาอย่างจริงจัง เด็ดขาด
4. เป็นเรื่องที่ดี ที่ภาครัฐขยับจะเอาจริงเอาจังกับการเข้มงวดกวดขันเรื่องการครอบครองและพกพาอาวุธปืน
ล่าสุด กระทรวงมหาดไทย ได้นำเสนอมาตรการในการกำกับดูแลควบคุมการใช้อาวุธปืนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ต่อที่ประชุม ครม.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนี้
4.1 มีหนังสือแจ้งให้ทุกจังหวัดกำชับแนวทางให้นายทะเบียนท้องที่อำเภอถือปฏิบัติตามมาตรการในการกำกับดูแลควบคุมการใช้อาวุธปืนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเคร่งครัด ดังนี้
1) ให้นายทะเบียนท้องที่งดการออกใบอนุญาตให้สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปืน ชนิดแบลงค์กัน หรือสิ่งเทียมอาวุธปืนอื่นที่สามารถดัดแปลงเป็นอาวุธปืนได้โดยง่าย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และนโยบายของกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งให้นายทะเบียนท้องที่ทราบแนวทางที่จะไม่มีนโยบายให้เพิ่มเติมผู้ได้รับใบอนุญาต สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปืนรายใหม่ ทุกท้องที่ทั่วประเทศ สำหรับกรณีร้านค้าอาวุธปืนให้นายทะเบียนท้องที่งดการออกใบอนุญาตให้สั่ง หรือนำเข้า ซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (แบบ ป.2) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
2) สั่งการแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและนายทะเบียนท้องที่กรุงเทพมหานครให้แจ้งไปยังนายทะเบียนทุกท้องที่ทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการขอความร่วมมือไปยังบุคคลผู้ครอบครองแบลงค์กันหรือสิ่งเทียมอาวุธปืนผู้สุจริตทุกรายในทุกจังหวัดซึ่งมิได้ดำเนินการดัดแปลงแก้ไขสิ่งเทียมอาวุธปืนของตนแต่อย่างใด ให้นำแบลงค์กันหรือสิ่งเทียมอาวุธปืนที่ครอบครองดังกล่าวข้างต้นมาแสดงและทำบันทึกต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ เพื่อเป็นการแสดงเจตนาสุจริต และขอให้ดำเนินการโดยไม่เพิ่มภาระเกินสมควรกับบุคคลเหล่านั้น
3) การขอมีและใช้ซึ่งอาวุธปืนและการขอซื้อ สั่งหรือนำเข้าซึ่งเครื่องกระสุนปืนของสมาคมกีฬายิงปืน ให้นายทะเบียนท้องที่พิจารณาออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) ใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน(แบบ ป.4) และใบอนุญาตให้สั่งหรือนำเข้าซึ่งเครื่องกระสุนปืน (แบบป.2)แก่สมาคมกีฬายิงปืนที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลถูกต้องตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 แล้วเท่านั้น ประกอบกับผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 และในรายละเอียด ยังมีการกวดขันเรื่องเครื่องกระสุนปืนด้วย
4) การออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด (ในเขตจังหวัด) ให้งดการออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติตตัว (แบบ ป.12) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
4.2 มีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอความร่วมมือในการปราบปรามการซื้อขายอาวุธปืน สิ่งเทียมอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งปิดกั้นการเข้าถึงช่องทางดังกล่าว พร้อมทั้งแจ้งผลการปฏิบัติให้กระทรวงมหาดไทยทราบด้วย
4.3 มีหนังสือถึงกรมศุลกากร ขอความร่วมมือให้ตรวจสอบสิ่งเทียมอาวุธปืนที่สำแดงผ่านพิธีการศุลกากร ว่าไม่มีการดัดแปลงเป็นอาวุธปืนมาจากต่างประเทศโดยสำแดงเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนรวมทั้ง ชิ้นส่วน สิ่งเทียมอาวุธปืนต่าง ๆ ที่อาจมีการสำแดงเท็จโดยนำชิ้นส่วนอาวุธปืนปะปนเข้ามา ให้มีความถูกต้องตรงตามใบอนุญาตให้สั่ง หรือนำเข้า ซึ่งสิ่งเทียมอาวุธปืน (แบบ ป.2) ที่นายทะเบียนท้องที่ออกให้
4.4 มีหนังสือขอความร่วมมือการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งกำกับดูแลสนามยิงปืนที่จดทะเบียนเป็นสมาคมกีฬากับการกีฬาแห่งประเทศไทย ทั่วประเทศ ให้มีการกวดขันและตรวจสอบอย่างเคร่งครัด ดังนี้
1) ให้มีการบันทึกข้อมูลชื่อ สกุล อายุ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ของผู้เข้าใช้บริการสนามยิงปืนทุกราย
2) ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนและอายุผู้เข้าใช้บริการสนามยิงปืนโดยผู้เข้าใช้บริการจะต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วเว้นแต่กรณีที่ผู้เข้าใช้บริการเป็นนักกีฬายิงปืนเยาวชนที่มีหนังสือรับรองจากสมาคมกีฬาที่ได้มีการจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยใช้อาวุธปืนของผู้ปกครองที่ได้รับอนุญาตถูกต้องและคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
3) ตรวจสอบอาวุธปืนที่นำมาใช้ในสนามยิงปืนจะต้องได้รับอนุญาตถูกต้องตรงกับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ของผู้ใช้
4) ห้ามผู้เข้าใช้บริการนำเครื่องกระสุนปืนที่เหลือจากการฝึกซ้อมออกจากสนามยิงปืนโดยเด็ดขาด
5. ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ยุค มท.1 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นับว่าทำหน้าที่ได้ฉับไว ทันทีทันใด
แต่ต้องไม่ลืมว่า หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องขยับเอาจริงเอาจังไปด้วยกัน จึงจะบรรลุเป้าหมายการควบคุมอาวุธปืน เพื่อความปลอดภัยในสังคมได้อย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี