มูลเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองไทยไม่เจริญก็เพราะพรรคการเมืองกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ก่อตั้งพรรคการเมือง หรือเจ้าของพรรค ส่วนสมาชิกพรรคการเมือง ก็เป็นได้แค่เพียงลูกสมุน ลูกไล่ ลูกกะโล่หรือลูกจ้างของเจ้าของพรรคการเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ก็ไม่ต้องหวังว่าพรรคการเมืองไทยจะมีพัฒนาการ และไม่ต้องหวังว่าการเมืองไทยจะพัฒนา ถ้าหากพรรคการเมืองใดก็ตาม ที่เจ้าของพรรคสามารถส่งใครก็ได้ไปเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง ขี้ข้า ขี้ครอก ลูกสาว ลูกชาย สามี ภรรยา รวมถึงโคตรเหง้าศักราช ญาติโกโหติกาของเจ้าของพรรค
เรื่องที่เจ้าของพรรคการเมืองส่งใครก็ตามไปเป็นหัวหน้าพรรคก็นับว่าเป็นความเลวทรามอย่างหนึ่งในระบบพรรคการเมืองของไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างสุดๆ ประเทศหนึ่งบนโลกนี้ แต่ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือ ประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกนักการเมือง เลือกพรรคการเมือง ดันเลือกพรรคการเมืองพรรค์อย่างว่าไปเป็นตัวแทนของตนเอง โดยผู้เลือกภาคภูมิใจเสียเหลือเกินว่า ได้ใช้สิทธิการเลือกตั้งแล้ว แต่ถือเป็นการเลือกตั้งที่แสนจะสูญเปล่า เป็นการเลือกตั้งที่จำกัดวงอยู่ในเฉพาะกลุ่มคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ หรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ และคนส่วนใหญ่
กลับมาพูดแบบวิชาการอีกทีว่า พรรคการเมืองคืออะไร ก็ตอบแบบวิชาการว่า คือคณะบุคคล หรือกลุ่มคนที่รวมตัวกันแล้วจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา โดยทำตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วก็มีการขยายความว่า พรรคการเมืองตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันทำให้เจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนเกิดเป็นจริงขึ้นมา โดยส่งสมาชิกพรรคลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือในบางครั้งก็มีการลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ด้วย ทั้งนี้พรรคการเมืองต้องดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเป็นรูปธรรม
ขอบอกตรงๆ ว่าคำอธิบายเชิงวิชาการข้างต้นนั้น แสนจะน่าเบื่อ ดูแล้วเลื่อนลอย ไม่สามารถทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้ร่ำเรียนด้านรัฐศาสตร์ และด้านนิติศาสตร์ เข้าอกเข้าใจอะไรมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะจริงๆ แล้วคนทั่วไปเข้าใจว่าพรรคการเมือง คือการร่วมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพล โดยบางกลุ่มมาจากนักเลงหัวไม้ เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าของบ่อน เจ้าของซ่อง เจ้าของกิจการค้าของเถื่อน เจ้าของกิจการระดับประเทศ นักธุรกิจที่หากินกับสัมปทานของรัฐ แล้วกลุ่มคนที่เป็นอดีตข้าราชการ โดยรวมตัวกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และพวกพ้อง มากกว่าเน้นการสร้างสรรค์ผลประโยชน์แท้จริงให้สาธารณะ
ส่วนที่อ้างสวยหรูว่าพรรคการเมืองคือการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์การเมืองเดียวกันนั้น เป็นเพียงคำอ้างที่ใช้สอนหนังสือ เพื่อให้ผู้เรียนจำคำตอบแบบน่าเบื่อนั้น แล้วนำไปสอบให้ผ่านเท่านั้นเอง เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่า สมาชิกพรรคการเมืองเดียวกันนั้นจะมีอุดมการณ์การเมืองในทิศทางเดียวกัน เพราะเมื่อดูจริงๆ แล้ว สส. จำนวนไม่น้อยสามารถโยกย้ายพรรคได้เสมอ เมื่อได้รับข้อเสนอ หรือได้รับสิ่งตอบแทนที่ตนเองพอใจ ดังนั้น เรื่องอุดมการณ์การเมืองจึงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
มีบางคนพูดตรงกว่านั้นอีก คือกล่าวว่า พรรคการเมืองคือที่รวมกลุ่มของผู้คนที่ต้องการมีอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบให้ตนเอง และพวกพ้อง ดังที่พบเห็นกันเป็นประจำว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันสารพัดชนิดในแวดวงการเมืองไทย
แต่อย่างไรก็ตาม หากจะพูดกันตามหลักวิชาการจริงๆ แล้ว พรรคการเมืองที่แท้จริงนับว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมอย่างมาก เพราะถือเป็นสถาบันทางการเมืองชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญ อันจะช่วยทำให้สังคมหรือประเทศชาติดำเนินไปในแนวทางที่พรรคมีอุดมการณ์การเมือง (แต่ต้องเน้นว่าสำหรับพรรคที่มีอุดมการณ์การเมืองแท้จริงเท่านั้น)
นอกจากนี้ พรรคการเมืองยังเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลกับประชาชน โดยพรรคการเมืองจะทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือรวบรวมความเห็น ความต้องการของประชาชนแล้วนำไปกำหนดเป็นนโยบายของพรรค แล้วดำเนินการตามนโยบายที่พรรคประกาศต่อสาธารณะ เพื่อให้นโยบายนั้นๆ ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ส่วนหน้าที่สำคัญอีกประการของพรรคคือเป็นตัวกลางต่อรองผลประโยชน์ และประสานประโยชน์ในสังคม เพื่อให้สังคมไม่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง จนกลายเป็นการปะทะกันของสมาชิกสังคม
นั่นคือความสำคัญของพรรคการเมืองโดยทฤษฎี แต่ในความจริงนั้น คุณผู้อ่านโปรดพิจารณาเถอะว่ามีพรรคการเมืองไหนในประเทศไทยที่ทำหน้าที่ได้ตามทฤษฎีกำหนดได้อย่างแท้จริง
ตามหลักวิชาการด้านการเมืองการปกครองยังระบุว่าพรรคการเมืองมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ให้ความรู้ทางการเมือง สร้างจิตสำนึกทางการเมือง และหล่อหลอมวัฒนธรรมการเมืองให้ประชาชน หรือสมาชิกของพรรค
ส่วนหน้าที่อีกข้อหนึ่งของพรรคการเมืองคือสร้างผู้นำการเมือง โดยเฉพาะผู้นำการเมืองที่เน้นการสร้างสรรค์ผลประโยชน์ให้กับสาธารณะ ดังนั้น ผู้นำการเมืองจากพรรคการเมืองจึงต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้ ต่อสู้เรียกร้องผลประโยชน์ให้ประชาชน ต่อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมทั้งปวง เพื่อให้สังคมเกิดความเป็นธรรมสูงสุด
พูดเรื่องพรรคการเมืองทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงวิพากษ์มาพอสมควรแล้ว ขอเข้าประเด็นตามหัวข้อเรื่องที่ตั้งคือธุรกิจการเมืองในครอบครัวทักษิณ ชินวัตร
หลายคนที่ติดตามการเมืองไทยมาอย่างใกล้ชิดต้องรู้ชัดเจนว่าทักษิณ ชินวัตร คือนักธุรกิจที่เข้าสู่สนามการเมือง แล้วสร้างเรื่องราวต่างๆ ให้การเมืองไทยหลายรูปแบบ ทั้งดีและเลว ส่วนจะเลวมากกว่าดีหรือดีมากกว่าเลว ก็ขอให้ติดตามดูสิ่งที่ทักษิณกระทำไว้ในนามของนักการเมือง ซึ่งเรื่องทั้งหมดเป็นที่ประจักษ์ชัดดีอยู่แล้ว
คอการเมืองไทยรู้ดีว่าทักษิณคือตำรวจเก่าที่ใช้ความโยงใยเข้าไปทำธุรกิจกับแวดวงตำรวจอยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปตั้งบริษัท แต่การที่ทักษิณมีโยงใยกับวงการตำรวจได้นั้น มีปัจจัยหนุนบางอย่างมาจากระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย พรรคการเมืองของทักษิณคือพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 แล้วเขาก็ได้ครองอำนาจรัฐอย่างต่อเนื่องมาจนถึง 2549
ต้องยอมรับว่าพรรคของทักษิณชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 2544-2548 แม้หลังจากรัฐบาลทักษิณถูกกระทำรัฐประหารด้วยเหตุผลและข้ออ้างเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เมื่อปี 2549 แต่ถึงกระนั้น พรรคการเมืองในชื่อต่างๆ ของทักษิณ อาทิ พลังประชาชน และเพื่อไทย ซึ่งต้องนับว่าเป็นพรรคการเมืองของทักษิณโดยแท้จริง ก็ยังคงชนะการเลือกตั้ง สส. ในประเทศไทยเสมอมา จนกระทั่งมาแพ้การเลือกตั้งโดยได้คะแนน สส. เป็นอันดับสอง รองจากพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
พ.ศ. 2566
ทักษิณเป็นคนที่อ้างมาโดยตลอดว่าเข้าวงการการเมือง เพราะต้องการช่วยบ้านเมือง เนื่องจากตนเองรวยจนเกินพอแล้ว จึงต้องการช่วยบ้านเมือง แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าเขาร่ำรวยมากยิ่งขึ้นเมื่อมีอำนาจรัฐอยู่ในกำมือ
แนวนโยบายสำคัญของพรรคไทยรักไทยตั้งแต่เริ่มต้นคือแนวนโยบายประชานิยม ที่เน้นเอาใจคนยากคนจน และยังขายความฝันให้กับคนที่มีฐานะดีว่าจะทำให้ประเทศไทยก้าวไปเป็นประเทศพัฒนา แต่ทั้งหมดคือคำโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง สิ่งที่พรรคการเมืองของทักษิณใช้เป็นจุดขายทางการเมืองมาโดยตลอดคือ การหว่านแจกเงินโดยกลอุบายสารพัดชนิด เช่น การหว่านแจกเงินให้กับหมู่บ้านและชุมชนด้วยกลวิธีต่างๆ การตั้งกองทุนหมู่บ้าน การให้ทุนการศึกษาหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน เพื่อให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ การพักหนี้เกษตรกร เป็นต้น
แต่สิ่งหนึ่งที่คอการเมืองไทยจดจำได้ดีคือ พรรคการเมืองของทักษิณไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ ในพื้นที่ที่พรรคของทักษิณแพ้การเลือกตั้ง ดังที่ทักษิณเคยกล่าวไว้ชัดเจนว่า พื้นที่ไหนที่เลือกพรรคการเมืองของทักษิณ จะได้รับการช่วยเหลือดูแลมากเป็นพิเศษ หากพื้นที่ไหนไม่เลือกพรรคของทักษิณ ก็ไม่ได้รับการดูแล คำพูดทำนองนี้จากปากของทักษิณ ยังเป็นที่จดจำได้ดีจนทุกวันนี้
แม้ว่าทักษิณจะมีประสบการณ์การเมืองน้อยมาก ในวันที่เขาได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก แต่เขาก็ใช้หลักการทำงานแบบนักธุรกิจร้อยประสานกลุ่มต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว จนทำให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจการบริหารงานมากที่สุด ซึ่งหลายคนวิพากษ์ว่ามากจนเกือบจะกลายเป็นเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง
ทักษิณประสานเครือข่ายกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ แล้วยังใช้กลอุบายควบรวมยุบพรรคการเมืองต่างๆ ที่สยบยอมต่ออำนาจรัฐของทักษิณเข้าเป็นพรรคเดียวกัน แล้วก็ใช้การโฆษณาสร้างภาพว่าทำงานเพื่อคนยากคนจน โดยมีกลุ่มคนที่เคยเป็นอดีตนิสิตนักศึกษาที่ร่วมเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 และ 6 ตุลาฯ 2519 เข้ามาเป็นตัวจักรกลสำคัญในการสร้างภาพให้สังคมหลงเข้าใจว่าพรรคของทักษิณตั้งใจทำงานเพื่อช่วยเหลือคนยากคนจน ในส่วนของกองทัพและตำรวจ ทักษิณก็ใช้การเข้าไปควบคุมอย่างเกือบจะเบ็ดเสร็จ โดยการส่งคนของตัวเองเข้าไปกินตำแหน่งสำคัญๆ ในหน่วยงานด้านความมั่นคง
ทักษิณฉวยช่วงจังหวะหลังจากประเทศไทยเผชิญปัญหาอย่างสาหัสจากวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่ทักษิณมีความพร้อมด้านเงินมากที่สุด แต่บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ กำลังบาดเจ็บหนัก ดังนั้นบริษัทใหญ่ทั้งหลายจึงต้องหาทางเอาตัวรอด เพื่อให้บริษัทดำเนินกิจการต่อไปให้ได้ จึงยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่ออำนาจรัฐในยุคที่ทักษิณกุมอำนาจรัฐไว้ได้
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ทักษิณอาศัยช่องของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทำให้อำนาจรัฐอยู่ในกำมือทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะมีข้อกำหนดให้อำนาจนายกรัฐมนตรีไว้ในรัฐธรรมนูญมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆหน้านั้น
ทักษิณอ้างตลอดเวลาว่ารวยแล้วไม่โกง เขาเคยพูดชัดๆ ว่า เขาใช้เงินจากครอบครัวมาเป็นทุนการเมือง เขาขออนุญาตลูกเมียแล้วว่าจะเข้าสู่การเมือง เขามักจะอ้างเสมอๆ ว่าเขาใช้เงินของครอบครัวในการทำงานการเมือง ซึ่งหมายความว่าเขาอ้างว่าเขารวยแล้ว เขาไม่โกง แล้วเขาก็อ้างอีกว่า พรรคพวกของเขาที่อยู่ในพรรคการเมืองของเขาก็ล้วนแล้วแต่ร่ำรวย มีฐานะดี มีความมั่งคั่งล้นเหลือ จึงเข้ามาทำงานการเมืองโดยไม่ต้องทุจริตคอร์รัปชัน แต่ทว่าทั้งหมดนั้น เป็นเพียงคำโกหกจากปากของทักษิณ
เมื่อพรรคพวกในพรรคการเมืองของทักษิณมีแต่ชนชั้นนายทุนระดับประเทศ ดังนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจที่จะเห็นว่า สส. ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค รวมถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณจึงมาจากนักธุรกิจของประเทศ ซึ่งเท่ากับแสดงให้เห็นว่านักธุรกิจไม่ยอมอยู่หลังนักการเมืองอีกต่อไป แต่บัดนี้นักธุรกิจเปิดหน้าบนเวทีแห่งอำนาจรัฐโดยชัดเจน
กลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคของทักษิณคือกลุ่มทุนโทรคมนาคม กลุ่มทุนอุตสาหกรรม กลุ่มทุนธนาคาร กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มทุนสื่อสารมวลชน และกลุ่มทุนธุรกิจบันเทิง
แต่สุดท้าย เมื่อทักษิณมีอำนาจรัฐมาก มากจนกลายเป็นว่าทักษิณสามารถทำอะไรก็ได้ โดยอ้างว่าตนเองมาจากการเลือกตั้ง แต่บทสุดท้ายทักษิณก็ถูกกระทำรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 แล้วหลักจากนั้น ทักษิณก็ไม่กลับเข้ามาประเทศไทยอีก โดยหลังรัฐประหารแรกๆ นั้น ทักษิณรอดูจังหวะการเมือง โดยเขามีส่วนปลุกระดมยั่วยุให้ประชาชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณก่อตัวเป็นมวลชนแล้วออกมาปกป้องทักษิณ โดยทักษิณใช้การปลุกระดมผ่านสื่อฯ ต่างๆ เป็นประจำ
และแล้วทักษิณต้องหนีคดีอาญาแผ่นดินที่เขาจงใจก่อขึ้น เขาหนีคดีว่า 10 ปี จนสุดท้ายเมื่อก่อนที่เศรษฐา ทวีสินจะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณก็กลับประเทศไทย แต่เขาไม่ได้กลับมาในฐานะนักโทษ แต่เขากลับมาในฐานะผู้มีอภิสิทธิ์เหนือนักโทษทั้งปวงบนแผ่นดินไทย
วันนี้ แม้ทักษิณจะมีสถานะนักโทษ แต่ไม่มีใครเห็นว่าเขาต้องรับการลงโทษลงทัณฑ์แต่อย่างใด ไม่มีนักโทษรายใดในประเทศไทยมีอภิสิทธิ์เสมอเหมือนทักษิณ
อีกไม่นาน พรรคเพื่อไทยของทักษิณก็จะมีหัวหน้าพรรคคนใหม่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของทักษิณ ลูกสาวที่ถูกสังคมไทยโจษจันกล่าวขานถึงเรื่องราวทุจริตการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไม่มีวันจบสิ้น
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แพทองธารจะได้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองของทักษิณ เพราะทุกวันนี้แม้แพทองธารจะไม่ได้กินตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยโดยนิตินัย แต่ทว่าโดยพฤตินัยนั้น แพทองธารเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาหลายเดือนแล้ว
ย้ำว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกสาวคนเล็กของทักษิณจะกินตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองของทักษิณ แต่ที่แปลกคือคนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงเลือกพรรคการเมืองที่คงความเป็นระบบครอบครัวมาโดยตลอด อาจเป็นเพราะว่าคนไทยจำนวนหนึ่งกลัวพรรคที่มีแนวโน้มล้มเจ้าชัดๆ จึงจำเป็นต้องเลือกพรรคที่อ้างว่าเทิดทูนเจ้าแบบแปร่งๆ ทั้งๆ ที่ลึกๆ ก็ไม่น่าจะเทิดทูนเจ้ามากสักเท่าไรนัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี